ASTVผู้จัดการรายวัน - “กานต์” หนุนรัฐบาล “ปู” เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้ปูนในประเทศเพิ่มขึ้นหลายล้านตัน อ้างระบบรางใช้ไม่ได้ ทำให้ต้นทุนการขนส่งสูง เชื่อสหรัฐฯ ลด QE ปลายไตรมาส 4 ทำให้ดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ส่วนโครงการปิโตรฯ ที่เวียดนามคืบหน้า คาดก่อสร้างได้ต้นปี58 เน้นใช้เงินลงทุนส่วนผู้ถือหุ้นมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงการเงิน
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งจากการบริโภคและการลงทุนภาครัฐ ซึ่งโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจช่วง 7 ปี เริ่มตั้งแต่ในปี 557 และยังมีส่วนช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและลดต้นทุนภาคขนส่ง ซึ่งปัจจุบันระบบรางของไทยใช้ไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องมีการลงทุนใหม่ เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
นอกจากนี้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทนี้ทำให้เกิดความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศสูงขึ้นหลายล้านตันในช่วง 7 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงใช้ปูนซีเมนต์ในการก่อสร้างมากที่สุด ส่วนโครงการระบบรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ใช้ปูนซีเมนต์ไม่ถึง 2 ล้านตัน
ซึ่งปริมาณปูนซีเมนต์ในประเทศจะเพียงพอใช้อย่างแน่นอน โดยบริษัทฯ จะลดการส่งออกปูนในปีนี้เหลือ 4 ล้านต้น จากปีก่อนส่งออก 5 ล้านตัน และคาดว่าภาวะเศรษฐกิจในปีหน้าจะฟื้นตัวดีกว่าปีนี้แน่จากโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งตนเห็นว่าโครงการนี้ควรเกิดขึ้นให้ทันในปีหน้า เชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนอีกมาก
นายกานต์กล่าวต่อไปว่า ในช่วงปลายไตรมาส 4/56 คาดว่าธนาคารกลางของสหรัฐฯ (เฟด) จะลดมาตรการ QE หากตัวเลขอัตราว่างงานสหรัฐฯ ดีขึ้น โดยขณะนี้ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปีปรับสูงขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้า ส่วนค่าเงินบาทก็จะอ่อนค่าลง ซึ่งค่าเงินบาทเป็นสิ่งที่สำคัญก็อยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังทำงานอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
นายกานต์กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์เวียดนามว่า ขณะนี้ได้มีการออกประกาศเชิญชวนให้บริษัทผู้รับเหมาเข้ามาประมูลการก่อสร้างโครงการดังกล่าวแล้ว คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ต้นปี 2558 และจะแล้วเสร็จในปี 2561 ส่วนมูลค่าโครงการนั้นคาดว่าจะชัดเจนในไตรมาส 3 /2557 จากเดิมที่เคยวางมูลค่าโครงการไว้ที่ 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
เนื่องจากสถานการณ์ตลาดการเงินโลกมีแนวโน้มที่ดอกเบี้ยจะปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นโครงการนี้จะเน้นใช้เงินลงทุนในส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) มากกว่าโครงการลงทุนทั่วไปที่มีสัดส่วนเงินทุนส่วนทุน 30% ที่เหลือเป็นเงินกู้ 70% คาดว่าการจัดหาเงินกู้โครงการนี้จะแล้วเสร็จในปลายปี 2557
“โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนามจะเป็น Corporate Finance จะใช้ส่วน Equity มากกว่า 30% แต่สัดส่วนจะเป็นเท่าไร เงินกู้เท่าใดคาดว่าจะรู้ภายในปลายปีหน้า ช่วงต้นๆ ก็จะใช้เงินจาก Shareholder ไปก่อน” นายกานต์กล่าว
โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์เวียดนาม SCC ถือหุ้น 46% ส่วนที่เหลือคือปิโตรเวียดนาม 29% และกาตาร์อินเตอร์เนชันแนล 25% โดยโครงการนี้ล่าช้ามานานกว่า 5 ปีเนื่องจากประสบปัญหาวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ และเวียดนามมีปัญหาเงินเฟ้อสูงทำให้การกู้เงินทำได้ยาก
สำหรับวัตถุดิบที่ใช้ในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์เวียดนามมีความยืดหยุ่นรองรับวัตถุดิบประเภท Light Feed ได้ 70% คือได้แก่ อีเทน โพรเทน เป็นต้น ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่จะมีราคาถูกในช่วงฤดูร้อน โดยโรงโอเลฟินส์ในเครือบริษัทฯ ในประเทศไทยนั้นสามารถใช้Light Feed เพียง 30% แต่เน้นใช้แนฟทาที่อิงราคาน้ำมันดิบมากกว่า