เอกชนเกาะติดค่าเงินบาทใกล้ชิดหลังแข็งค่าต่อเนื่องผวาหลุด 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐกระทบขีดความสามารถทางการแข่งขันการส่งออกครึ่งปีหลัง ยังหวังเป็นเพียงระยะสั้นมั่นใจ ธปท.ดูแลไม่ให้ผันผวน มองระดับ 32-33 บาทต่อเหรียญฯ กำลังดีต่อส่งออก จับตาบาทแข็งเสี่ยงกระทบส่งออกปีนี้โตไม่ถึงเป้า 3% และอาจเห็นโตแค่ 1% เท่านั้น
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคเอกชนโดยเฉพาะผู้ส่งออกกำลังติดตามภาวะอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดหลังจากเริ่มมีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่อง ยอมรับว่าหากบาทแข็งค่าหลุด 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐอเมริกาจะมีผลกระทบต่อขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทย อย่างไรก็ตาม ยังมั่นใจว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงจะติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทของไทยผันผวนหรือแข็งค่าในระดับที่ผิดปกติ
“ถ้าดูขณะนี้บาทไทยก็แข็งตามทิศทางภูมิภาค สิ่งที่ต้องการเห็นคือความไม่ผันผวนและไม่แข็งค่าจนเกินไป โดยหากเป็นไปได้เคลื่อนไหวในระดับ 32-33 บาทต่อเหรียญสหรัฐก็จะดีต่อการส่งออกมากในครึ่งปีหลังนี้ แต่หากหลุด 32 บาทต่อเหรียญฯ ก็ยอมรับว่าจะกระทบต่อขีดความสามารถทางการแข่งขันการส่งออก” นายวัลลภกล่าว
ทั้งนี้ ภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาจากเงินไหลเข้ามายังภูมิภาคมากโดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทย ประกอบกับมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือคิวอี สหรัฐอเมริกากำลังจะหมดลงทำให้คาดว่าสหรัฐฯ จะมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตซึ่งจะต้องรอดูการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ถึงความชัดเจนในเรื่องนี้หากขึ้นดอกเบี้ยเงินจะไหลกลับค่าบาทก็น่าจะมีการอ่อนค่าลงได้
นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ขณะนี้เอกชนกำลังติดตามและมีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทของไทยที่เริ่มแข็งค่าขึ้นโดยยังคงต้องดูว่าจะเป็นการแข็งค่าชั่วคราวหรือไม่ ยอมรับว่าหากมีการแข็งค่าภาวรและมีความผันผวนจะกระทบการส่งออกไทยในครึ่งปีหลังได้โดยหากค่าเงินบาทอยู่ระดับปัจจุบันเฉลี่ย 32-33 บาทต่อเหรียญฯ คงไม่มีปัญหาอะไรแต่หากแข็งค่าไปในระดับต่ำกว่า 30 บาทต่อเหรียญฯ จุดนี้น่าเป็นห่วงมาก
“เราเองเคยมองว่าค่าเงินบาทของไทยระยะนี้น่าจะอ่อนค่าด้วยซ้ำไปเพราะยังไม่มีปัจจัยใดๆ มาหนุนให้แข็งค่าได้แต่เมื่อแข็งค่าต่อเนื่องมาจากเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าก็ต้องดูว่าเป็นการเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้นหรือไม่เรากำลังติดตามใกล้ชิดว่ามันเกิดจากอะไรแน่ซึ่งยอมรับว่าน่าห่วงเพราะการเงินของโลกขณะนี้มีความผันผวนสูง ส่วนการส่งออกนั้นจะขอดูอีกระยะหนึ่งก่อนจึงจะประเมินได้ชัดเจน” นายนพพรกล่าว
นายธนิต โสรัตน์ อดีตรองประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า ภาวะเงินบาทที่แข็งค่าขณะนี้เกิดจากภาวะเงินไหลเข้ามามากและมีการเก็งกำไรค่าเงินซึ่งย่อมจะกระทบต่อขีดความสามารถทางการส่งออกของไทยได้เนื่องจากขณะนี้ภาวะส่งออกตลาดหลักๆ ของไทยก็ยังไม่ดีนักแม้กระทั่งตลาดอาเซียนที่กำลังเป็นตลาดเป้าหมาย 5 เดือนแรกก็ติดลบ 5% ดังนั้น ทั้งปีหากต้องการผลักดันส่งออกให้เป็นไปตามเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ที่จะโต 3% จึงเป็นไปได้ค่อนข้างยากเนื่องจากทุกเดือนจากนี้ไปไทยจะต้องส่งออกเฉลี่ยให้ได้เดือนละกว่า 2 หมื่นเหรียญสหรัฐ ดังนั้นความเสี่ยงส่งออกไทยจะโตแค่ 1% ก็ยังมีสูง