ธุรกิจขนส่งและคลังสินค้าได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวไตรมาส 2 ยังไม่เห็นทางฟื้นเหตุเข้าสู่โลว์ซีซัน รถบรรทุกจอดนิ่งไร้งานส่อพุ่งเกิน 1.8 แสนคัน ผู้ประกอบการยอมรับปกติจะว่างงานเพียงไม่เกิน 20% ล่าสุดดิ่งเกิน 30% รับอีก 1-2 เดือนสถานการณ์ไม่ดีขึ้นส่อเป็น NPL ได้
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานคณะทำงานเศรษฐกิจมหภาค การเงิน การคลัง สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการบริษัทวี เซิร์ฟ กรุ๊ป ประกอบธุรกิจด้านลอจิสติกส์ เปิดเผยว่า จากภาวะแรงซื้อของคนไทยถดถอยมีผลให้ยอดขายค้าปลีกสินค้าลดตัวต่อเนื่องมีผลกระทบต่อธุรกิจการบริการขนส่ง (ลอจิสติกส์) และคลังสินค้าได้รับผลกระทบตามมา โดยขณะนี้ด้านขนส่งเฉพาะรถบรรทุกที่อยู่ทั่วประเทศราว 9 แสนคันไตรมาสแรกมีการว่างงานแล้วเฉลี่ย 15-20% หรือประมาณ 1.8 แสนคัน ส่วนคลังสินค้าว่างถึง 30% ซึ่งแนวโน้มไตรมาส 2 จะยังคงลดต่อเนื่องอีก คาดว่าจะมากกว่า 20% ซึ่งคงจะต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจและส่งออกครึ่งปีหลัง
“การขนส่งส่วนใหญ่เกิดจากภาวะที่ภาคอุตสาหกรรมหลายๆ ตัวมียอดขายลดลง การลดลงของภาคก่อสร้างตามภาวะเศรษฐกิจรวมของไทยที่ชะลอตัว รวมทั้งภาคเกษตรเองก็มีปัญหาราคาตก ประกอบกับการส่งออกไตรมาสแรกก็ติดลบทำให้การนำเข้าสินค้าลดตามก็กระทบต่อการขนส่งโดยรวมตามมา ซึ่งต่างจากปีที่แล้วที่คลังสินค้าเต็มหมดมีการขยายและเช่าเพิ่ม แต่ปีนี้ตรงกันข้ามคือคลังว่างมากขึ้น” นายธนิตกล่าว
นายยู เจียรยืนยงพงศ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หลัง เม.ย.เป็นช่วงโลว์ซีซันของการขนส่งเพราะเข้าสู่ฤดูฝนและหมดฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งปกติอัตราว่างงานของรถบรรทุกจะลดลงไปไม่เกิน 20% แต่ขณะนี้ยอมรับว่าลดลงกว่า 30% ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงกว่าปกติเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากปัญหาการเมืองประกอบด้วยจึงทำให้ยอดขายสินค้าภาคอุตสาหกรรมลดลง อย่างไรก็ตาม ปัญหาการชำระหนี้ของผู้ประกอบการรถบรรทุกภาพรวมยังคงมีรายได้ในการชำระหนี้ตามปกติ แต่ยอมรับว่าในอีก 1-2 เดือนข้างหน้าถ้าสถานการณ์ไม่ดีขึ้นปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ NPL ก็อาจจะมีได้เช่นกัน
“แต่ละรายได้รับผลกระทบไม่เท่ากันและความสามารถทางการเงินก็ต่างกันไป แต่ยอมรับว่าถ้างานมันลดลงมากไปเรื่อยๆ โอกาสจะมีปัญหาในการผ่อนรถก็ย่อมมีแน่นอน เราเองก็หวังว่าการเมืองจะจบลงในไม่ช้านี้” นายยูกล่าว
