ผู้อำนวยการสำนักวิจัย สายบริหารความเสี่ยง ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ยืนยันไทยไม่เกิดปัญหาซ้ำรอยเหมือนวิกฤตปี 2540 เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจ และระบบการเงินเข้มแข็ง
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย สายบริหารความเสี่ยง ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวครบรอบ 17 ปี การลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2540 ว่า มีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดปัญหาซ้ำรอยเหมือนวิกฤตปี 2540 เนื่องจากปัจจุบันใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวมีการจัดการ ไม่ได้ใช้ระบบตะกร้าเงินเหมือนที่ผ่านมา และปัจจุบันระบบสถาบันการเงินมีความเข้มแข็งมาก มีภูมิคุ้มกันมากยิ่งขึ้นหลังจากที่ผ่านบทเรียนราคาแพงมาแล้วเมื่อปี 2540
ขณะเดียวกัน การดูแลสถาบันการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย มีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนที่สอดคล้องต่อการเคลื่อนไหวของเงินสกุลภูมิภาคเอเชีย จึงทำให้ประเทศไทยยังไม่เสียเปรียบเรื่องความสามารถทางการแข่งขันทางการค้า
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงครึ่งปีหลังเงินบาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่าในช่วงปลายไตรมาส 3-4 มาจากปัจจัยภายนอก คือ นโยบายการเงินของสหรัฐอเมริกา ที่คาดว่าจะหยุดมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE) ในการประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ เดือนตุลาคมนี้ และจะเริ่มมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2558 ซึ่งจะมีผลทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออกจากประเทศไทยมากขึ้น และทำให้เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าลง โดยอาจจะเห็นถึง 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ ดังนั้น ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า จึงต้องเตรียมรับมือแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาท ลดความผันผวนของการดำเนินธุรกิจด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น เห็นว่าควรให้ความสำคัญต่อนโยบายดูแลอัตราแลกเปลี่ยนผสมผสานกับการใช้นโยบายเป้าหมายเงินเฟ้อ เพื่อไม่ให้ภาคเอกชนเสียเปรียบด้านการแข่งขันกับประเทศคู่แข่ง
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย สายบริหารความเสี่ยง ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวครบรอบ 17 ปี การลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2540 ว่า มีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดปัญหาซ้ำรอยเหมือนวิกฤตปี 2540 เนื่องจากปัจจุบันใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวมีการจัดการ ไม่ได้ใช้ระบบตะกร้าเงินเหมือนที่ผ่านมา และปัจจุบันระบบสถาบันการเงินมีความเข้มแข็งมาก มีภูมิคุ้มกันมากยิ่งขึ้นหลังจากที่ผ่านบทเรียนราคาแพงมาแล้วเมื่อปี 2540
ขณะเดียวกัน การดูแลสถาบันการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย มีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนที่สอดคล้องต่อการเคลื่อนไหวของเงินสกุลภูมิภาคเอเชีย จึงทำให้ประเทศไทยยังไม่เสียเปรียบเรื่องความสามารถทางการแข่งขันทางการค้า
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงครึ่งปีหลังเงินบาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่าในช่วงปลายไตรมาส 3-4 มาจากปัจจัยภายนอก คือ นโยบายการเงินของสหรัฐอเมริกา ที่คาดว่าจะหยุดมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE) ในการประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ เดือนตุลาคมนี้ และจะเริ่มมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2558 ซึ่งจะมีผลทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออกจากประเทศไทยมากขึ้น และทำให้เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าลง โดยอาจจะเห็นถึง 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ ดังนั้น ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า จึงต้องเตรียมรับมือแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาท ลดความผันผวนของการดำเนินธุรกิจด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น เห็นว่าควรให้ความสำคัญต่อนโยบายดูแลอัตราแลกเปลี่ยนผสมผสานกับการใช้นโยบายเป้าหมายเงินเฟ้อ เพื่อไม่ให้ภาคเอกชนเสียเปรียบด้านการแข่งขันกับประเทศคู่แข่ง
