สมาคมผู้ค้าก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีตบเท้ายื่นหนังสือถึง “คสช.” วันนี้หนุนตรึงราคาแอลพีจีไว้ที่ 22.63 บาทต่อ กก. แนะรื้อโครงสร้างใหม่อิงกลไกตลาดที่ให้เป็นธรรมทุกฝ่ายและเน้นใช้ทรัพยากรของชาติอย่างรู้คุณค่า กางแผนนำเข้าแอลพีจี ราคาตลาดโลกให้ชัดเพื่อดูรวมไปถึงกองทุนน้ำมันฯ แอลพีจีต้องไม่มีหลายราคาเพื่อให้เกิดการลักลั่น ย้ำควรให้ความสำคัญต่อครัวเรือนมากกว่าขนส่งที่มีทางเลือกใช้พลังงานเพียบ
นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) เปิดเผยว่า วันนี้ (2 มิ.ย.) สมาคมฯ จะยื่นหนังสือถึง พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจเกี่ยวกับแนวทางการปรับโครงสร้างราคาแอลพีจี โดยเห็นด้วยที่จะชะลอการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนที่จะต้องขึ้นอีกกิโลกรัมละ 50 สตางค์เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยต้องการให้มีการพิจารณาปรับโครงสร้างราคาภาพรวมให้ชัดเจนก่อนเพื่อไม่ให้เกิดความลักลั่นของราคาทั้งแอลพีจีครัวเรือน ขนส่ง อุตสาหกรรม ปิโตรเคมี
“สิ่งที่จะเสนอคือที่ผ่านมามีการขึ้นราคาแอลพีจีครัวเรือนเดือนละ 50 สตางค์ต่อ กก. เริ่มตั้งแต่ 1 ก.ย. 56 การขึ้นทยอยทำมา 9 เดือนรวมเป็นการขึ้นแล้ว 4.50 บาทต่อ กก. หลักการขนส่งควรจะขึ้นก็มาสะดุดที่ยุบสภาฯ เสียก่อนทำให้ถูกตรึงไว้ที่ 21.38 บาทต่อ กก. แต่ราคาครัวเรือน พ.ค.อยู่ที่ 22.63 บาทต่อ กก.นั้นทำให้ส่วนต่างมันมีมากจะเกิดปัญหาการลักลอบใช้ผิดประเภท จึงไม่ควรจะปล่อยให้แอลพีจีครัวเรือนขึ้นไปห่างอีก จึงควรชะลอการขึ้นแล้วมาดูภาพรวมจะทำให้ขนส่งและครัวเรือนไปด้วยกัน และราคาเป้าหมายที่จะขึ้นไปที่ 24.82 บาทต่อ กก.นั้นควรจะมาทบทวนใหม่หรือไม่” นายชิษณุพงศ์กล่าว
ทั้งนี้ คสช.ควรพิจารณาถึงปริมาณการนำเข้าแอลพีจีจากต่างประเทศที่ขณะนี้ต้องชดเชยราคาโดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงว่ามีสัดส่วนการนำมาใช้อย่างไรและมีราคาเท่าใดแน่ รวมถึงราคาตลาดโลกปัจจุบันเพื่อปรับโครงสร้างราคาใหม่ที่คำนึงถึงทุกฝ่ายทั้งผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้บริโภค และผู้ใช้น้ำมันที่ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องดึงเงินจากผู้ใช้น้ำมันโดยเฉพาะกลุ่มเบนซินมาอุดหนุนซึ่งถือไม่ยุติธรรมในจุดนี้ และที่สำคัญการขึ้นราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือนที่ผ่านมามีการครอบคลุมภาระต้นทุนไปมากน้อยเพียงใดแล้ว
อย่างไรก็ตาม ราคาแอลพีจีครัวเรือนและขนส่งจำเป็นที่จะต้องเป็นราคาเดียวกัน และหากมองข้อเท็จจริงภาคขนส่งนั้นควรจะสูงกว่าด้วยซ้ำไปเนื่องจากมีทางเลือกการใช้มากมายทั้ง NGV แก๊สโซฮอล์ต่างจากครัวเรือนที่ไม่มีทางเลือกอื่น และการปรับขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นราคาที่เหมาะสมแล้วก็จึงพิจารณา โดยช่วงเวลานี้ถือเป็นโอกาสดีที่สุดเพราะเป็นช่วงแอลพีจีตลาดโลกจะอยู่ในช่วงขาลงหากจะปรับโครงสร้างก็จะง่ายสุด ซึ่งเห็นว่าราคานั้นควรจะอิงกลไกตลาดที่เหมาะสมไม่ควรตรึงราคาเกินความจำเป็น เพราะที่สุดไทยจะต้องนำเข้าเพิ่มสูญเสียเงินตรา และยังเป็นการส่งเสริมการเร่งรัดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศให้หมดเร็วอย่างไร้ประสิทธิภาพ
