เอสซีจี เปเปอร์ตั้งเป้าปีนี้รายได้แตะ 6.2 หมื่นล้านบาท โตขึ้น 5%จากปีก่อน 5.9 หมื่นล้านบาท มองเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีซบเซาแต่ส่งออกยังไปได้ ชี้การรุกธุรกิจ Flexible Packaging จะทำให้บริษัทเข้าสู่การเป็นผู้ผลิตและให้บริการด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจร เนื่องจากเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้พลาสติกเป็นวัตถุดิบ จากเดิมที่เน้นบรรจุภัณฑ์กระดาษเป็นหลัก
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปเปอร์ ในเครือบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า ทิศทางที่เอสซีจี เปเปอร์ให้ความสนใจเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า คือธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (Packaging) ซึ่งการเป็นผู้ผลิตและผู้ให้บริการด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจร( Total packaging Solution Provider ) ต้องเน้นวัสดุอื่นๆด้วยนอกเหนือจากกระดาษ ทำให้บริษัทฯตัดสินใจเข้าไปซื้อหุ้นในบริษัท พรีแพค ประเทศไทย จำกัดร้อยละ 22 ซึ่งเป็นผู้ผลิต Flexible Packaging ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้เม็ดพลาสติกเป็นวัตถุดิบที่มีอัตราการเติบโตสูง สามารถใช้กับสินค้าอาหารและสินค้าอุปโภค บริโภค
ทั้งนี้เอสซีจี เปเปอร์มีฐานลูกค้าบรรจุภัณฑ์กระดาษระดับหนึ่ง และมีความรู้ความสามารถในธุรกิจนี้ ซึ่งตลาด Flexible Packaging ในไทยอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท เติบโตสูงกว่า 5-6%ต่อปี และนับวันจะเป็นตลาดที่ใหญ่มากขึ้นตามเศรษฐกิจที่ขยายตัว โดยบริษัทฯไม่ได้มองเฉพาะตลาดในไทย แต่มองตลาดในอาเซียนที่พบว่าเศรษฐกิจอาเซียนมีกำลังซื้อที่เติบโตด้วย
โดยล่าสุด บริษัทได้จับมือพันธมิตรญี่ปุ่นตั้งโรงงานผลิต Flexible Packaging ในประเทศเวียดนามเพื่อรองรับตลาดในประเทศ เบื้องต้นผลิต 3 พันตัน/ปีในกลางปีนี้ และจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในอนาคต
นายรุ่งโรจน์ กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังว่าเศรษฐกิจในไทยค่อนข้างซบเซา เกิดจากความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ภาคการส่งออกยังไปได้ ทำให้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ยังเติบโตได้ดีเนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าส่งออก รวมทั้งตลาดในภูมิภาคอาเซียนก็ยังดีอยู่ โดยบริษัทฯมีการส่งออกทั้งทางตรงและทางอ้อม
ดังนั้นในปีนี้ เอสซีจี เปเปอร์ตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ 6.2หมื่นล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 5%จากปีก่อนที่มีรายได้ 5.9 หมื่นล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้เพิ่มเติมจากผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกิดขึ้น รวมทั้งส่งออกสินค้าในกลุ่มเอสซีจี เปเปอร์เพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 22% โดยจะส่งออกสินค้าสายธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่ธุรกิจกระดาษพิมพ์เขียนนั้นก็ลดการผลิตลงไปตามสภาพตลาดที่ลดลง แต่บริษัทก็หันไปผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น อาทิ Dissolving Pulp คือ นำเยื่อกระดาษผลิตเสื้อผ้า และภาชนะเมลามีน ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
เมื่อเร็วๆนี้ บริษัทกลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุน ได้ลงทุนมูลค่า 340 ล้านบาทเพื่อเข้าถือหุ้นร้อยละ 22 ในบริษัทพรีแพค ประเทศไทย นับเป็นก้าวสำคัญที่จะขยายเข้าสู่ธุรกิจ Flexible Packaging ครั้งแรก ซึ่งพรีแพค เป็นผู้ผลิตและผู้ให้บริการสินค้า Flexible Packaging ครบวงจร มีกำลังการผลิต 14,000 ตันต่อปี โดยในปี 2556 มียอดขายประมาณ 1,470 ล้านบาท โดย Flexible Packaging เป็นหนึ่งในบรรจุภัณฑ์ที่มีอัตราการเติบโตของความต้องการสูงที่สุดในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด สามารถใช้กับสินค้าอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ผ้าอ้อมหรือบรรจุภัณฑ์แบบเติม