“จีเอ็มเอ็ม” คุยโว นิวบิสซิเนสพุ่งแรง โฮมช้อปปิ้งโต 181% พร้อมขายกล่องรับสัญญาณดาวเทียม 2.7 ล้านกล่อง ด้านPay TV เพิ่มฐานสมาชิกได้ 1.8 แสนราย ดัน “ช่อง one” และ “ช่อง BiG” เสริมทัพ
นายปรีย์มน ปิ่นสกุล ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ “แกรมมี่” เปิดเผยว่า ปี 2557 เป็นปีแห่งธุรกิจทีวีดิจิทัลตั้งแต่การประมูลช่องรายการทีวีดิจิทัลเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ซึ่งบริษัทฯ ชนะการประมูลช่องทีวีดิจิทัล จำนวน 2 ช่องคือ ช่องรายการทั่วไปประเภทความคมชัดสูง (Variety – HD) หรือช่อง “one” ที่หมายเลข 31 และช่องรายการทั่วไป ประเภทความคมชัดปกติ (Variety – SD) หรือช่อง “BiG” ที่หมายเลข 25 ด้วยจุดขายคือ คอนเทนต์คุณภาพที่มีให้รับชมอย่างหลากหลายและถูกใจผู้ชมดังผลงานที่เป็นที่ยอมรับที่ผ่านมา
การลงทุนในธุรกิจทีวีดิจิทัลนี้สิ่งที่ได้คือการประหยัดต้นทุนค่าเช่าเวลาในช่องฟรีทีวีถึงปีละกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งการเลือกที่จะมีช่องทีวีดิจิทัลของตนเองจะเปลี่ยนต้นทุนจากการเช่าเวลามาเป็นต้นทุนจากการบริหารซึ่งคงที่ แม้รวมค่าเช่าโครงข่ายและค่าใบอนุญาตเฉลี่ยจ่ายรายปีแล้วก็รวมอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาทเท่านั้น ต่อไปธุรกิจทีวีดิจิทัลจะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัทฯ”
“ช่อง one” เริ่มออกอากาศตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งผังรายการส่วนใหญ่ เป็นผังรายการเดิมของช่องโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมซึ่งเป็นรายการ Re-Run แต่หลักจากนี้จะเริ่มมีรายการใหม่ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อรายการต่างๆ เข้ามาเติมเต็มผังรายการมากขึ้น ภาพลักษณ์ของช่อง one ก็จะชัดเจนมากขึ้น โดยความสมบูรณ์ของผังรายการนี้จะอยู่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีไปจนถึงต้นปี 2558 ซึ่งจะปรับตัวให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกระแสตอบรับของตลาด
สำหรับ “ช่อง BiG” จะเริ่มออกอากาศวันที่ 23 พ.ค.ศกนี้ ซึ่งบริษัทฯ จะคัดเลือกรายการยอดนิยมจาก 6 ช่องโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม (ฟรีทูแอร์) ที่บริษัทฯ มีมาลงในช่อง BiG โดยรายการดังกล่าวจะเป็นรายการที่ฐานผู้ชมที่เหนียวแน่นอยู่แล้ว จะช่วยผลักดันให้ช่อง BiG ติดตลาดได้เร็วยิ่งขึ้น
“บริษัทฯ มีแผนในการลงทุนในธุรกิจใหม่นี้อย่างรอบคอบจึงได้แบ่งการออกอากาศเป็นระยะ ซึ่งระยะแรกในช่วงเดือนกรกฎาคมจะเพิ่มความน่าสนใจของผังรายการด้วยรายการข่าวและรายการวาไรตี้ ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ที่จะเข้ามา ธุรกิจทีวีดิจิทัลไม่ใช่ธุรกิจใหม่ของบริษัทฯ แต่จะเป็นธุรกิจที่ต่อยอดและเสริมทัพให้กับธุรกิจที่บริษัทฯดำเนินอยู่ เป็นการใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่บริษัทฯ มีให้เกิดประโยชน์มากที่สุดและเป็นช่องทางให้ผลงานคุณภาพได้ออกสู่สายตาประชาชน บริษัทฯ จะดึงจุดแข็งและความได้เปรียบในธุรกิจทีวีและคอนเทนต์ทั้งหมด ผลักดันให้ช่องทีวีดิจิตอลทั้ง 2 เป็นช่องรายการฮิตที่อยู่ในใจของผู้ชมได้ บริษัทฯ ยังเชื่อว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจใหม่นี้ให้เติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพซึ่งจะสร้างทั้งรายได้และกำไรให้กับบริษัทฯ นอกจากนั้น การแจกคูปอง 22 ล้านใบของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อแลกซื้อกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัลซึ่งคาดว่าเป็นผลดีต่อการเติบโตของธุรกิจทีวีดิจิทัลช่วยให้ฐานผู้รับชมทีวีดิจิตอลเพิ่มได้รวดเร็วมากขึ้นและทำให้ช่องได้รับค่าโฆษณาในอัตราที่ดีขึ้นและเร็วยิ่งขึ้น” นายปรีย์มน กล่าวเสริม
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2557 รายได้จากธุรกิจใหม่ ธุรกิจโฮมช้อปปิ้งมีการเติบโตอย่างมาก มีรายได้เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 181 ธุรกิจแพลตฟอร์ม GMM Z มีรายได้เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 26 สร้างยอดขายกล่องรับสัญญาณดาวเทียมถึง 2.7 ล้านกล่อง ธุรกิจ Pay TV สามารถขยายฐานสมาชิกได้ประมาณ 1.8 แสนราย ถือเป็นความสำเร็จในอีกระดับหนึ่งสำหรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ของบริษัทฯ ปัจจุบันมีสัดส่วนของรายได้ธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 27 ของรายได้รวม
ในขณะที่รายได้ของธุรกิจเดิมลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสถานการณ์การเมืองที่มีความไม่แน่นอนและมีการชะลอการซื้อสื่อโฆษณาออกไป การแสดงคอนเสิร์ตต้องเลื่อนออกไปเป็นช่วงครึ่งหลังของปี จากการลงทุนในธุรกิจใหม่นี้ส่งผลให้ผลการดำเนินงานมีผลขาดทุน 791 ล้านบาท ถือเป็นลักษณะปกติของธุรกิจที่อยู่ในช่วงลงทุนซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถพลิกรายได้ให้กลับมาสู่ระดับปกติได้ในช่วงครึ่งปีหลัง
ในไตรมาสที่ 2 ด้านการจัดการแสดงดนตรี แกรมมี่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากจำหน่ายบัตรเข้าชมการแสดงดนตรีได้เต็มหมดทุกที่นั่ง อาทิ “Genie Fest 16 ปี แห่งความร็อก” ที่จำหน่ายบัตรหมดได้อย่างรวดเร็ว และ “กล่อมกรุง” คอนเสิร์ตทรงคุณค่าจากศิลปินระดับตำนานที่ได้รับกระแสตอบรับดีไม่แพ้กัน เป็นสัญญาณบ่งชี้ผู้บริโภคได้ปรับตัวและกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากการจัดแสดงสูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และสำหรับธุรกิจภาพยนตร์ “คิดถึงวิทยา” โดยจีทีเอช สร้างรายได้ box office ทะลุ 100 ล้านบาทเช่นเคย ซึ่งจะมีรายรับบางส่วนเข้ามาในไตรมาสที่ 2 ด้วยเช่นกัน
“แกรมมี่ มีแผนการลงทุนในปี 2557 โดยการใช้เงินทุนจากเงินสดที่มีอยู่และการกู้เงินจากสถาบันการเงิน โดยปัจจุบันอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Interest Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.61 เท่า” นายปรีย์มน กล่าวสรุป