คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
ในฐานะเป็นคอหนังประเภทต้องเสพภาพยนตร์เป็นประจำ ว่างๆ ก็ต้องวกเข้าโรงหนัง หรือเช่าแผ่นดีวีดีมาเสพทุกวันในช่วงเวลาร่วม 20 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าช่วงหลังๆ ด้วยหน้าที่ และภารกิจการงานที่รัดตัว กอรปกับมีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น เรื่องราวความบันเทิงอื่นที่อยู่นอกเหนือการทำงานด้านกีฬาก็อาจจะลดลงไปบ้าง กลายเป็นว่านานทีจะได้โอกาสเข้าโรงฯ แต่เมื่อมีการโหมโปรโมตหนังไทยสไตล์ “จีทีเอช” อย่าง “คิดถึงวิทยา” มาอัดใส่โทรทัศน์แทบทุกช่อง และสื่อหลากหลายที่ผ่านตา ทำให้ผมเกิดความคิดอยากดูหนังเรื่องนี้ไปตามประสาคนรักหนังทั่วไปเช่นเดียวกัน
แต่ด้วยหน้าที่การงานปัจจุบันจะให้ตะลุยดุ่ยๆ ไปเขียนถึงเรื่องหนัง ในวงการบันเทิงก็คงไม่ใคร่เหมาะนัก อีกทั้งหนังเรื่องนี้พาลให้ผมคิดถึง “วิทยา” ตัวเป็นๆ ในวงการกีฬาขึ้นมาจริงๆ ซึ่งก็เป็น วิทยา เลาหกุล อดีตนักเตะไทยคนที่เคยไปค้าแข้งกับสโมสร แฮร์ธา เบอร์ลิน และเป็นนักเตะที่มากบารมีเก่งกาจในฐานะโค้ชจนสโมสรในประเทศญี่ปุ่นถึงกับลงทุนจ้างให้ไปคุมทีมมาแล้ว
ซึ่งสาเหตุของอาการ “คิดถึงวิทยา” ของผมในครั้งนี้ มันกำเริบก็มาจากการได้เห็นทีมฟุตบอลทีมชาติไทยของเรา ต้องลงสนามอุ่นเครื่องกับทีมสโมสรในไทยพรีเมียร์ลีก อย่างทีมเพื่อนตำรวจ เมื่อวันพุธที่ที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะแพ้ทีมสโมสร ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ในสายตาของผม เพราะถือเป็นการอุ่นเครื่อง และทดลองผู้เล่นเท่านั้น แต่ที่เป็นเรื่องใหญ่จนทำให้ผมคิดคือ เราได้เห็น “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือทีม “ช้างศึก” ออกมายอมรับว่าต้องการที่จะได้อุ่นเครื่องกับทีมชั้นนำ ทว่าสมาคมฟุตบอลไทยยุคนี้จนป่านนี้ก็ยังหาทีมระดับหัวแถวของทวีปมาอุ่นเครื่องอย่างเป็นทางการไม่ได้ จนนึกย้อนไปถึงการมีโอกาสพูดคุยกับคุณวิทยาในช่วงหนึ่งว่า สมาคมฟุตบอลไทย ควรมีตำแหน่ง “ประธานเทคนิค” อย่างจริงจังเสียที ซึ่งแม้ว่าตอนนี้สมาคมฟุตบอลฯ แต่งตั้ง ฮิชิโร ฟูชิดะ ชาวญี่ปุ่นที่เคยเป็นประธานเทคนิคของเอเอฟซีมาแล้ว แต่ก็ยังดูเลื่อนลอย และสื่อมวลชนอย่างผมยังไม่เห็นแผนทีเด็ดอะไรออกมาเลย
จึงอยากย้อนความให้ฟังว่าวันนั้นคุณวิทยาขยายความตำแหน่งนี้ให้ผมฟังว่า “ผมอยากให้สมาคมฟุตบอลฯ เข้าใจถึงหน้าที่ของประธานพัฒนาเทคนิคอย่างถ่องแท้ เพราะสามารถกำหนดทิศทางการพัฒนาฟุตบอลไปได้ถูกทาง เราต้องไปเน้นที่การพัฒนานักฟุตบอลระดับเยาวชน ยกระดับผู้ฝึกสอนอาชีพ อีกทั้งต้องวางโครงสร้างให้กับสโมสรฟุตบอลอาชีพ ซึ่งตำแหน่งนี้จะสามารถช่วยวงการฟุตบอลได้มาก แต่ตอนนี้สมาคมฟุตบอลฯ ไม่ได้ทำ ปล่อยให้แต่ละทีมไปทำกันเอง ไม่มีแนวทางที่ชัดเจน ต่างทีมต่างทำ ถึงทุกวันนี้ผมยังสงสัยอยู่ว่าสมาคมฟุตบอลฯ ทราบหรือยังว่าตำแหน่งประธานพัฒนาเทคนิคมีหน้าที่อะไร”
“อีกทั้งตำแหน่งดังกล่าวยังต้องวางแผนถึงเป้าหมายของการแข่งขันในแต่ละรายการด้วยว่า จะทำอย่างไรให้ไปสู่จุดหมาย” พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ เราจะลงสนามในฟุตบอลเอเชียนเกมส์ 2014 ที่อินชอน ประเทศเกาหลีใต้ เราต้องเจอกับทีมระดับหัวกะทิในทวีปนี้ การอุ่นเครื่องเพื่อเตรียมความพร้อมก็ควรได้ลงสนามกับทีมชาติที่ฝีเท้าดีเพื่อปรับปรุง และแก้ไขข้อด้อยต่างๆ แต่ก็อย่างที่ทราบนะครับ เราได้ลงสนามอุ่นเครื่องนัดแรกกับทีม เพื่อนตำรวจ ซึ่งผมไม่มีความคิดดูถูกสโมสรในไทยลีก ยกย่องในความเสียสละที่มาอุ่นเครื่องกับทีมชาติด้วยซ้ำ ทว่าหากจะให้พูดแบบวัยรุ่นยุคสังคมออนไลน์ก็ต้องบอกว่า “มันไม่ใช่อ่ะ”
นอกจากนี้เรายังได้เห็นด้วยว่าการที่เราทราบดีอยู่แล้วว่าปีนี้เราจะต้องลงแข่งขันรายการสำคัญอย่าง เอเชียนเกมส์ กลางปี และปลายปียังมีฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนอีก แต่แฟนบอลกลับได้เห็นการเพิ่มสโมสรในไทยพรีเมียร์ลีกจาก 18 ทีม มาเป็น 20 ทีม ส่งผลให้โปรแกรมฟาดแข้งชุกขึ้นอย่างลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงตอนนี้เราเริ่มได้เห็นบางสโมสรแสดงอาการไม่ค่อยอยากปล่อยให้นักฟุตบอลมาเล่นทีมชาติบางนัด บางแมตช์กันแล้ว
ใครคิดอะไรไม่รู้นะครับ แต่ผมคิดถึง “วิทยา” จริงๆ...
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
ในฐานะเป็นคอหนังประเภทต้องเสพภาพยนตร์เป็นประจำ ว่างๆ ก็ต้องวกเข้าโรงหนัง หรือเช่าแผ่นดีวีดีมาเสพทุกวันในช่วงเวลาร่วม 20 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าช่วงหลังๆ ด้วยหน้าที่ และภารกิจการงานที่รัดตัว กอรปกับมีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น เรื่องราวความบันเทิงอื่นที่อยู่นอกเหนือการทำงานด้านกีฬาก็อาจจะลดลงไปบ้าง กลายเป็นว่านานทีจะได้โอกาสเข้าโรงฯ แต่เมื่อมีการโหมโปรโมตหนังไทยสไตล์ “จีทีเอช” อย่าง “คิดถึงวิทยา” มาอัดใส่โทรทัศน์แทบทุกช่อง และสื่อหลากหลายที่ผ่านตา ทำให้ผมเกิดความคิดอยากดูหนังเรื่องนี้ไปตามประสาคนรักหนังทั่วไปเช่นเดียวกัน
แต่ด้วยหน้าที่การงานปัจจุบันจะให้ตะลุยดุ่ยๆ ไปเขียนถึงเรื่องหนัง ในวงการบันเทิงก็คงไม่ใคร่เหมาะนัก อีกทั้งหนังเรื่องนี้พาลให้ผมคิดถึง “วิทยา” ตัวเป็นๆ ในวงการกีฬาขึ้นมาจริงๆ ซึ่งก็เป็น วิทยา เลาหกุล อดีตนักเตะไทยคนที่เคยไปค้าแข้งกับสโมสร แฮร์ธา เบอร์ลิน และเป็นนักเตะที่มากบารมีเก่งกาจในฐานะโค้ชจนสโมสรในประเทศญี่ปุ่นถึงกับลงทุนจ้างให้ไปคุมทีมมาแล้ว
ซึ่งสาเหตุของอาการ “คิดถึงวิทยา” ของผมในครั้งนี้ มันกำเริบก็มาจากการได้เห็นทีมฟุตบอลทีมชาติไทยของเรา ต้องลงสนามอุ่นเครื่องกับทีมสโมสรในไทยพรีเมียร์ลีก อย่างทีมเพื่อนตำรวจ เมื่อวันพุธที่ที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะแพ้ทีมสโมสร ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ในสายตาของผม เพราะถือเป็นการอุ่นเครื่อง และทดลองผู้เล่นเท่านั้น แต่ที่เป็นเรื่องใหญ่จนทำให้ผมคิดคือ เราได้เห็น “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือทีม “ช้างศึก” ออกมายอมรับว่าต้องการที่จะได้อุ่นเครื่องกับทีมชั้นนำ ทว่าสมาคมฟุตบอลไทยยุคนี้จนป่านนี้ก็ยังหาทีมระดับหัวแถวของทวีปมาอุ่นเครื่องอย่างเป็นทางการไม่ได้ จนนึกย้อนไปถึงการมีโอกาสพูดคุยกับคุณวิทยาในช่วงหนึ่งว่า สมาคมฟุตบอลไทย ควรมีตำแหน่ง “ประธานเทคนิค” อย่างจริงจังเสียที ซึ่งแม้ว่าตอนนี้สมาคมฟุตบอลฯ แต่งตั้ง ฮิชิโร ฟูชิดะ ชาวญี่ปุ่นที่เคยเป็นประธานเทคนิคของเอเอฟซีมาแล้ว แต่ก็ยังดูเลื่อนลอย และสื่อมวลชนอย่างผมยังไม่เห็นแผนทีเด็ดอะไรออกมาเลย
จึงอยากย้อนความให้ฟังว่าวันนั้นคุณวิทยาขยายความตำแหน่งนี้ให้ผมฟังว่า “ผมอยากให้สมาคมฟุตบอลฯ เข้าใจถึงหน้าที่ของประธานพัฒนาเทคนิคอย่างถ่องแท้ เพราะสามารถกำหนดทิศทางการพัฒนาฟุตบอลไปได้ถูกทาง เราต้องไปเน้นที่การพัฒนานักฟุตบอลระดับเยาวชน ยกระดับผู้ฝึกสอนอาชีพ อีกทั้งต้องวางโครงสร้างให้กับสโมสรฟุตบอลอาชีพ ซึ่งตำแหน่งนี้จะสามารถช่วยวงการฟุตบอลได้มาก แต่ตอนนี้สมาคมฟุตบอลฯ ไม่ได้ทำ ปล่อยให้แต่ละทีมไปทำกันเอง ไม่มีแนวทางที่ชัดเจน ต่างทีมต่างทำ ถึงทุกวันนี้ผมยังสงสัยอยู่ว่าสมาคมฟุตบอลฯ ทราบหรือยังว่าตำแหน่งประธานพัฒนาเทคนิคมีหน้าที่อะไร”
“อีกทั้งตำแหน่งดังกล่าวยังต้องวางแผนถึงเป้าหมายของการแข่งขันในแต่ละรายการด้วยว่า จะทำอย่างไรให้ไปสู่จุดหมาย” พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ เราจะลงสนามในฟุตบอลเอเชียนเกมส์ 2014 ที่อินชอน ประเทศเกาหลีใต้ เราต้องเจอกับทีมระดับหัวกะทิในทวีปนี้ การอุ่นเครื่องเพื่อเตรียมความพร้อมก็ควรได้ลงสนามกับทีมชาติที่ฝีเท้าดีเพื่อปรับปรุง และแก้ไขข้อด้อยต่างๆ แต่ก็อย่างที่ทราบนะครับ เราได้ลงสนามอุ่นเครื่องนัดแรกกับทีม เพื่อนตำรวจ ซึ่งผมไม่มีความคิดดูถูกสโมสรในไทยลีก ยกย่องในความเสียสละที่มาอุ่นเครื่องกับทีมชาติด้วยซ้ำ ทว่าหากจะให้พูดแบบวัยรุ่นยุคสังคมออนไลน์ก็ต้องบอกว่า “มันไม่ใช่อ่ะ”
นอกจากนี้เรายังได้เห็นด้วยว่าการที่เราทราบดีอยู่แล้วว่าปีนี้เราจะต้องลงแข่งขันรายการสำคัญอย่าง เอเชียนเกมส์ กลางปี และปลายปียังมีฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนอีก แต่แฟนบอลกลับได้เห็นการเพิ่มสโมสรในไทยพรีเมียร์ลีกจาก 18 ทีม มาเป็น 20 ทีม ส่งผลให้โปรแกรมฟาดแข้งชุกขึ้นอย่างลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงตอนนี้เราเริ่มได้เห็นบางสโมสรแสดงอาการไม่ค่อยอยากปล่อยให้นักฟุตบอลมาเล่นทีมชาติบางนัด บางแมตช์กันแล้ว
ใครคิดอะไรไม่รู้นะครับ แต่ผมคิดถึง “วิทยา” จริงๆ...
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
