xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ “บี้ -สุกฤษฏิ์” รักนอกจอก็...คิดถึงวิทยา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไม่ได้มีแค่ในหนังเท่านั้นที่ “บี้-สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว” จะหลงรักคนที่ยังไม่เคยเห็นหน้า แต่รู้ไหมว่าเขาเคยหลงรักผู้หญิงที่อยู่ในเกมส์ ได้เจอตัวจริง แต่สุดท้ายก็อกหัก

งานนี้เราเลยให้บี้มาเล่าเรื่องหนังโรแมนติกคอเมดี้เรื่องแรกของเขา มีเผยเรื่องรักนอกจอแบบ “คิดถึงวิทยา” และเรื่องนอกจอ มีทั้งเรื่องที่เคยท้อแท้,ความปลาบปลื้มใจ, น้ำตาท่วมที่นิวยอร์ก ฯลฯ บอกได้ว่าหลากหลายรสชาติเลยล่ะ


ที่มาของ “คิดถึงวิทยา”

ก่อนบี้จะมีโอกาสมาเล่นหนังกับค่ายจีทีเอช เจ้าตัวยอมรับว่าเป็นแฟนหนังของค่ายนี้มาก่อน ดังนั้นพอมีโอกาสได้เล่นหนังเรื่อง “คิดถึงวิทยา” เขาเลยรีบตกลงแบบไม่ต้องคิดเลยทีเดียว

“ก่อนหน้านั้นผมเป็น “ติ่ง” ของค่ายจีทีเอชมาก่อนครับ (หัวเราะ) ตั้งแต่ดูหนังของจีทีเอชมา ผมชอบเรื่อง Season Change มากที่สุด จำได้ว่าตอนนั้นผมอายุ 21 เพิ่งเรียนจบ เห็นเนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับดนตรี ความรัก วัยรุ่น เลยโดนใจเป็นพิเศษ มันทำให้เรานึกถึงความรักสมัยเรียน แล้วพอมาเล่นละครนัดกับนัด เราเชิญบอล Season Change มาเป็นแขกรับเชิญ ปรากฎว่ากลายเป็นตอนที่เรตติ้งดีที่สุดของปี คนอื่นเลยบอกว่าบดบี้มาเลย งั้นเอาบอลมาเล่นแทนบี้ดีกว่า (หัวเราะ)

“หลังจากนั้นเวลามีโอกาสเจอผู้กำกับ ทีมงาน หรือผู้บริหารของจีทีเอช ผมก็จะบอกเขาว่า “มีโอกาสเรียกผมด้วยนะครับ” บอกอย่างนี้ตลอด จนผ่านมา 2 ปี จีทีเอชถึงติดต่อมา ผมเลยได้มาเล่นหนังเรื่องคิดถึงวิทยา

“ตั้งแต่ยังไม่ทันเห็นบท ผมก็ตกลงเล่นเลย (หัวเราะ) เขาบอกเป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้ พี่เก้ง (จิระ มะลิกุล) และผู้กำกับ (นิธิวัฒน์ ธราธร) มานั่งเล่าบทให้ฟังในร้านอาหาร ครั้งแรกที่ฟังยังเป็นแค่โครงเรื่อง แต่ผมชอบความโรแมนติกในเรื่องของความรัก พี่เก้งเล่าว่าเป็นเรื่องของคุณครูอยู่ที่เรือนแพ ซึ่งคุณครูคนนี้มีตัวจริงอยู่จริง พี่เก้งชอบมาก แต่การเล่าเรื่องแบบนี้ต้องเสริมความรักเข้าไป เราเลยต้องหาตัวสื่อกลางว่าจะสื่อผ่านความรักยังไงดี จากนั้นจึงพัฒนาบทมาเรื่อยๆ มีเสริมไดอารี่เข้ามา กลายเป็นว่าพระเอกนางเอกรู้จักกันผ่านไดอารี่”

งานนี้บี้บอกว่าหลงรัก “ตัวละคร” ที่เขาเล่นไปเต็มๆ แถมยังโดนใจสุดๆ กับบทหนังเรื่องแรกด้วย

“เรื่องนี้ผมรับบทเป็น “ครูสอง” ครับ ทีแรกเขาเป็นนักมวยปล้ำ แต่ไปไม่รุ่ง เลยเปลี่ยนมาเป็นคุณครูที่อยู่ห่างไกลในเรือนแพ อยู่อย่างเหงาๆ กับนักเรียน 3-4 คน ไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต เลยคิดถึงแฟน คิดถึงบ้าน คิดถึงบรรยากาศในเมือง แต่มาอยู่ได้ เพราะไปเจอไดอารี่เล่มหนึ่งของคุณครูผู้หญิงที่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน ชื่อ “ครูแอน” ตอนอ่านก็สนุกว่าครูแอนเคยอยู่กับเด็กยังไง เขาดิวกับน้ำประปายังไง จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความรักและความคิดถึง

“ผมชอบที่เป็นการเชื่อมรักผ่านไดอารี่ เราสามารถมีความู้สึกดีกับคนๆ หนึ่งผ่านไดอารี่โดยไม่รู้จักกันมาก่อน ผมว่าความคิดถึงก็เหมือนพลังงาน เวลาเราคิดถึงใครสักคน พลังงานของเราจะถูกแบ่งออกไปอยู่กับใครสักคนที่อยู่ในไดอารี่ กลายเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ครูสองรู้สึกพิเศษกับครูแอนขึ้นมา

“เรื่องนี้น่าสนใจว่าปกติเวลาคนเรารักกัน มักจะเริ่มจากเห็นหน้ากันก่อน จีบกันแล้วโดยไม่ทันรู้ว่านิสัยเป็นยังไง คนนี้อาจจะสวย คนนี้อาจจะถูกสเป็ค แต่นิสัยเป็นยังไงไม่รู้ แต่หนังคิดถึงวิทยาเป็นความรักอีกรูปแบบหนึ่ง คือ ไม่เห็นหน้าก่อน แต่เห็นนิสัยก่อนจากไดอารี่ ซึ่งผมว่าในชีวิตจริงคงมีอย่างนี้น้อย แต่ถ้าเราหยิบเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาเล่าได้ คงเป็นเรื่องราวมหัศจรรย์

“พี่เก้งเล่าให้ผมฟังว่า มีคนหนึ่งเข้าไปทำงานในออฟฟิศใหม่ แล้วได้อ่านไดอารี่ที่มีคนเขียนทิ้งไว้ เขาเลยชอบและไปตามหาว่าเป็นใคร สุดท้ายทั้งคู่เลยได้แต่งงานกัน อีกเรื่องคือ มีพี่ทีมงานเอ็กแซ็กท์- ซีเนริโอ เขาแชทคุยกันโดยไม่เห็นหน้ามาก่อน ผู้หญิงก็เอารูปคนสวยใช้ ผู้ชายก็เอารูปคนหล่อมาใช้ แต่พอมาเจอตัวจริง ปรากฏว่าไม่ใช่ แต่สุดท้ายด้วยความนิสัยใจคอมาก่อน พวกเขาเลยแต่งงานกัน ผมได้ยินเรื่องแบบนี้เรื่อยๆ เลยคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจ แม้แต่เพลงยังไม่ได้หยิบมุมนี้มาเล่า”

พอถามว่าคนดูจะได้ประโยชน์และมุมมองอะไรจากหนังเรื่องนี้บ้าง บี้ตอบว่า

“หนังเรื่องนี้ดูแล้วปลอดภัยครับ คือ ดูได้ทั้งครอบครัว ผู้ใหญ่ เด็ก ปู่ย่าน้าอา ดูแล้วได้ความรัก ความสุข ความฮา หรือถ้าเป็นแฟนกันก็จะได้บรรยากาศความรัก โรแมนติกคอเมดี้ ได้เห็นภาพวิวสวยๆ หรือคนที่ดูเอาสาระและปรัชญา เราก็มีให้ เช่น คุณครูที่จะต้องไปอยู่ในแพได้ ก็ต้องใช้ความเสียสละอย่างสูง เพราะครูสองเป็นคนในเมือง แต่ก็ต้องมาอยู่ในเรือนแพ ตัวเองลำบากไม่เป็นไร แต่อยากจะให้เด็กนักเรียน 3- 4 คนได้มีชีวิตที่ดี โตขึ้นสามารถใช้ความรู้มาพัฒนาหมู่บ้าน ผมยังเคยย้อนมองตัวเองว่าจะอยู่ได้ไหมแบบครูสอง ตัวเองยังไม่แน่ใจเลย แต่ครูสองได้ลองไปอยู่และอยู่ได้เพราะเด็กๆ พวกนี้ ถือเป็นเรื่องที่น่ารักมากครับ อยากให้ไปดูกัน”

เม้าท์หลังกองถ่าย

บี้ยอมรับว่าพอมีโอกาสมาเล่นหนังเรื่องแรก หลังจากที่เคยเล่นแต่ละครมา ความยากง่ายจึงต่างกัน ช่วงแรกเขาจึงต้องปรับตัวเยอะพอสมควร

“ช่วงแรกต้องบอกว่ายากมาก เพราะพี่เงาะ ที่เป็นแอ็คติ้งโค้ชละเอียดมาก ผมเคยเล่นละครมาก่อน ความละเอียดจึงอาจน้อยกว่า เวลาเล่นเราจะครีเอทไปสัก 6 แต่ผู้กำกับจะมาช่วยเสริมให้เป็นสัก 7 8 9 10 คือ มุมมองของผู้กำกับและพี่เงาะจะแตกต่างจากค่ายเอ็กแซ็กท์ พอได้เล่นกับเขาถึงเข้าใจว่าทำไมหนังของจีทีเอชมีราคาและมีโมเม้นท์แปลกๆ ที่หนังเรื่องอื่นไม่มี หรือที่ละครเอ็กแซ็กท์ยังขาดอยู่ พอเล่นไปก็เข้าใจ เริ่มเข้ารูปเข้ารอย และสนุกกับมันมากขึ้น”

ยิ่งได้มาแสดงกับ “พลอย - เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์” ที่เป็นตัวแม่ของการแสดง ทำให้บี้ถึงกับบอกว่าต้องพยายามอย่างหนัก เพื่อให้งานของเขาออกมาดีที่สุด

“พอรู้ว่าได้มาเล่นกับพี่พลอย ผมก็ต้องทำการบ้านอย่างหนัก แต่จีทีเอชกลัวผมไปดีไซน์บทตัวเองมาก่อน เลยไม่ยอมให้ผมเอาบทมาดูก่อนล่วงหน้า เพราะถ้าเป็นละคร เราสามารถดีไซน์บทตัวละครได้เล็กๆ น้อยๆ แต่เรื่องนี้เขาให้เรามาเจอสดๆ หน้ากล้อง บอกว่าคุณรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ได้เวิร์คช้อปหลายรอบแล้ว ไม่ให้จำบท แต่อยากให้ความรู้สึกของตัวละครไหลมาเอง แอ็คติ้งโค้ชบอกว่าเอาแค่สมองโล่งๆ มาละกัน ตอนนั้นยังนึกในใจว่าโดนพลอย เฌอมาล์ย เล่นเละเทะแน่นอน (หัวเราะ) แต่ไม่เป็นไร สู้เต็มที่ พยายามทำการบ้านไป พักผ่อนให้เต็มที่ ทำสมาธิให้ดีๆ แล้วพอมาเจอพี่พลอยจริงๆ ก็ประทับใจในการแสดงของเขา เพราะเล่นดีมาก ชอบที่พอเขารับบทเป็นครูแอน เขาก็เป็นตัวละครตัวนั้นได้จริงๆ

“แล้วในกองจะมีกฎว่าห้ามเรียกชื่อบี้ ห้ามเรียกชื่อพลอย คือเราต้องเรียกชื่อในตัวละคร เช่น ครูสอง ครูแอน ตัวละครจะได้สัมพันธ์กับนักแสดง ดังนั้นเวลาผมเล่นกับเด็กๆ ก็จะมีแกล้งเด็กๆ บ้าง ใครเรียกชื่อจริงจะโดนดีดมือ หรือบางทีผมจะแกล้งหลอกพี่พลอยว่า “วันนี้ผมไปนี่มา” เขาก็จะบอกว่า “พลอยก็ไปนี่. ..” ผมก็จะถามว่าพลอยไหน ... (หัวเราะ)”

ซีนไหนยากที่สุดในเรื่อง?

“คงเป็นซีนลองเทคครับ เป็นฉากพายุบนแพ เริ่มถ่ายตั้งแต่มีพายุนอกห้อง ผมวิ่งออกมานอกห้องมาเจอเด็ก แล้ววิ่งไปกอดเขา มันเป็นซีนที่ยาวมาก คิวทุกอย่างต้องเป๊ะ ใช้เวลา ทุกคนต้องตั้งใจ ห้ามผิดคิว ไม่งั้นต้องเริ่มใหม่ ถ่ายเสร็จก็ต้องรอรีเซ็ตฉาก ทำให้พื้นแพ้ง เช็ดตัวให้แห้ง จึงเป็นฉากที่ยากมาก แต่ถ้าถามว่าชอบซีนไหนที่สุด ผมชอบตอนขี่มอเตอร์ไซต์ ตอนนั้นครูสองอกหัก เลยร้องไห้ขี่มอเตอร์ไซต์ออกมา เป็นลองเทคเหมือนกัน แถมต้องขี่ลงน้ำด้วย ปกติผมไม่ไช่คนดราม่า พอมาเจอซีนดราม่าแบบนี้ก็รู้สึกยากหน่อย แต่ก็สนุกดีครับ” บี้เล่า

คิดถึงวิทยาในแบบฉบับของบี้

มีโอกาสเล่นหนังรักโรแมนติกคอเมดี้ทั้งที เราเลยถามมุมมองความรักของบี้ว่าเคยคิดถึงและหลงรักใครโดยที่ยังไม่เห็นหน้าเหมือนในหนังบ้างไหม บี้ตอบว่า

“เคยครับ ผมเคยอ่านคู่กรรม เขาบรรยายบทของอังศุมาลินได้ดีมากๆ ว่าคิ้วโกง จมูกเป็นสัน ปากเล็กๆ รอยยิ้มอ่อนช้อย พออ่านได้ 20 หน้า ก็รู้สึกหลงรักผู้หญิงคนนี้ อยากดึงเขามาเก็บไว้กับตัวเหลือเกิน (หัวเราะ) หรือบางครั้งเวลาเล่นเกมส์สามมิติ เห็นภาพนางเอกสามมิติ ก็คิดว่าถ้าได้เจอตัวเป็นๆ คงจะดี สรุปผมได้เจอผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาและนิสัยเหมือนตัวละครในเกมส์มาก (ยิ้ม) จำได้ว่าตอนนั้นผมเรียนอยู่ม.1. มันเกิดจากความรักในเกมก่อน พอมาเจอตัวจริง ก็รู้สึกว่าเขาเหมือนตัวละครในเกมมาก เลยหลงรักเขา พยายามจีบอยู่ 3-4 เดือน แต่ก็จีบไม่ติด (หัวเราะ)

“ตอนนั้นผมไปเรียนพิเศษกับเพื่อน เลยได้เจอเขาที่เรียนอยู่คนละโรงเรียน พยายามให้น้องในกลุ่มไปนั่งคุยเล่นกับเขา แล้วให้เขาบอกว่ามีพี่แนะนำนะ จากนั้นก็เข้าไปคุย ทำเป็นคุยเล่น พอเขาเดินออกห้องเรียนก็เดินไปส่งเขา จนคนอื่นสงสัยว่าทำไมต้องไปส่ง (หัวเราะ) บางครั้งไปนั่งรอก่อน ทั้งที่ปกติมาสาย ทำเป็นนั่งกินขนม แล้วเขาก็มานั่งกินขนมด้วย กลายเป็นจุดพัฒนามาเรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็อกหักอยู่ดีครับ (หัวเราะ)”

ที่ผ่านมาบี้เคยตกเป็นข่าวว่าคบหากับสาวบางคน เช่น “อิงฟ้า ดำรงชัยธรรม” ลูกสาวของอากู๋ แกรมมี่ ,และรายล่าสุดคือ “โม มนชนก ฉายแสงเพียงเพ็ญ” นางเอกค่ายเดียวกันที่แว่วมาว่าบี้กำลังจีบอยู่ พอเราถามว่าความสัมพันธ์ความรักตอนนี้เป็นยังไงบ้าง บี้หัวเราะแล้วตอบว่า “ถ้าจะให้ตอบ ก็ต้องบอกว่าทุกคนเป็นเพื่อนกันครับ” ก่อนจะพูดถึงสเป็กสาวๆ ในดวงใจให้เราฟังว่า

“ผมไม่มีสเป็กครับ เคยลองสังเกตสเป็คที่ผ่านมา ปรากฏว่าแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย ก็แปลกดีนะ มันเหมือนพรหมลิขิตที่เราไม่ได้กำหนดไว้ก่อน บางคงเจอแล้วรู้สึกถูกชะตาเลย บางคนไม่เกี่ยวสเป็คว่าสูงยาวเข่าดี แต่สุดท้ายก็ได้คบกัน มันเหมือนฟ้าลิขิต แต่เคยสังเกตเหมือนกันว่า ผู้หญิงที่ผมชอบส่วนใหญ่เป็นคนอารมณ์ดี

“ผมเคยบอกพี่ชมพู่ ก่อนบ่ายคลายเครียด ว่าถ้าพี่ไม่มีแฟน ผมจะจีบพี่เลย เพราะเขาอารมณ์ดี ตลก อยู่ในกองก็เล่นกัน แซวกัน ตีหัวกัน เตะกัน รักกัน เพราะรู้จักกันมา7 ปีแล้ว บางครั้งก็แซวเขาว่าถ้าพี่สวยกว่านี้ ผมจะจีบ เพราะนิสัยพี่ตรงสเป็คผม แต่ตอนนี้พี่ขี้เหร่ (หัวเราะ) “

แบบอย่างของความสำเร็จ

เห็นบี้ตั้งแต่เข้าวงการใหม่ๆ จนกระทั่งได้ชื่อว่าเป็น “ซูเปอร์สตาร์ชื่อดัง” เชื่อว่ากว่าจะมีวันนี้ได้ของเขา คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ บี้ยอมรับว่ามีโอกาสได้ทำงานใกล้ชิดกับ “พี่บอย” (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) จึงได้ซึมซับวิธีการทำงานมา และกลายเป็นเคล็ดลับในการทำงานของเขานั่นเอง

“ก่อนเข้าวงการ ผมเป็นคนตั้งใจ แต่ยังไม่เยอะขนาดนี้ครับ อย่างตอนเรียนวิศวะ ก็เกเรบ้าง โดดบ้าง แต่เวลาสอบก็ตั้งใจทำให้เต็มที่ พอมีโอกาสได้เข้ามาในเดอะสตาร์ แกรมมี่บอกไม่เอาๆ แต่พี่บอยว่าลองดูก่อน เขาเลยต้องควบคุมผมเป็นพิเศษ ผมเลยได้ดีลงานกับพี่บอยโดยตรง จึงซึมซับความแข็งแกร่งและการทำงานของเขามา

“พี่บอยทำให้ผมเห็นว่าความฝันของเขาเป็นเรื่องของงานตลอดเวลา ซึ่งผมอาจจะไม่ถึงขนาดเขา ผมแบ่งเป็นงานครึ่งหนึ่ง ชีวิตครึ่งหนึ่ง แต่พี่บอยทุกอย่างเป็นงานหมด ความคิดเขาเป็นอเมริกัน ไม่มีว่าแค่นี้พอแล้ว แต่ทุกอย่างต้องเป๊ะ งานต้องทุ่มเท ต้องคิดว่ายังไปได้อีกไหมและไปให้ถึงให้ได้ ผมดีลกับเขาตลอด เลยได้ความรู้จากเขาเยอะ ทั้งวิธีการทำงาน ระเบียบวินัย ความตั้งใจ และกระบวนความคิด” บี้เล่า

ถามว่าการมีชื่อเสียงอย่างนี้ ทำให้ต้องลำบากในการรักษาชื่อเสียงมากขึ้นด้วยไหม บี้ตอบว่า

“ผมแบ่งแยกครับ คือ ผมให้บริษัทเป็นคนรักษาชื่อให้ผม ส่วนผมก็ใช้ชีวิตของผมไป เช่น ทำงานเต็มที่ ร้องเพลงเต็มที่ เล่นละครเต็มที่ แต่เรื่องส่วนตัว เขาก็ไม่ยุ่งกับผม ทำให้ผมใช้ชีวิตปกติได้ แต่คงไม่ได้ใช้ชีวิตหวือหวาอะไร มีเที่ยวเล่นกับเพื่อนเป็นปกติ แต่ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย เลยอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ค่อยมีเรื่องด่างพร้อยก็ได้”

แล้วมีเหตุการณ์ไหนที่ทำให้ท้อแท้มากที่สุด ?

“ช่วงที่เข้าวงการมาใหม่ๆ ผมยังเรียนไม่จบ ต้องทำงาน 7 วัน นอนน้อย ภาวะสมองมึน ความคิดแย่ๆ เลยเข้ามาในสมองเยอะมาก รู้สึกว่าทำไมเราต้องทำงานหนัก ทำงานแค่ 4 วันไมได้เหรอ คนอื่นก็มีทำไมต้องให้เราทำ ลางานไม่ได้เลยเหรอ เลยคิดว่ากลับบ้านดีกว่า เพราะตอนนั้นมีทุกอย่างพร้อมแล้ว มีคอนโด มีบ้านให้แม่ มีเงินเก็บ คิดว่าเอาเงินไปฝากกินดอกเบี้ยอยู่อย่างสมถะดีกว่า ผมเลยเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ว่าทำงาน 7 วันเหนื่อยมาก ผมไม่อยากทำงานล่ะ จะกลับไปอยู่เชียงใหม่ดีกว่า แต่สุดท้ายไม่ได้ไป เพราะคนรอบข้างมาบิ้วว่ายังมีวิธีแก้ เลยตัดสินใจสู้อีกรอบ

“แต่ก็มีอีกครั้งที่รู้สึกแบบเดิม คือ ก่อนบวชครั้งที่สอง คิดว่าจะกลับเชียงใหม่ โดยไม่บอกใคร เพราะเรื่องเก่ายังเป็นถ่านไฟเก่าที่กรุ่นในใจตลอดเวลา พอมาเจอปัญหาเดิมอีก คือ ต้องทำงาน 7 วัน เลยคิดว่าทำไมต้องทำงานเยอะอีกละ ผมทำงานเต็มที่นะ แต่ทำไมผมลาไปเที่ยวบ้างไม่ได้ เขาก็ว่าไม่ได้ต้องทำงานก่อน ผมก็ดื้อว่าทำงานให้เสร็จหมดแล้ว ทำไมไม่ให้ผมเที่ยว งั้นกลับบ้านดีกว่า แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าพระอาจารย์ผมรู้ได้ยังไง อาจเป็นเพราะทีมงานแอบไปบอกหรือท่านอ่านใจผมได้ เพราะอยู่ดีๆ ท่านก็โทรมาบอกว่า “เดินต่อสิ หลวงพ่อรักลูกนะ “ตอนนั้นท่านเป็นไม้สุดท้ายจริงๆ เพราะผมคิดจะไปล่ะ ถ้าไม่รับสายท่านวันนั้น ป่านนี้ผมคงไปขายกาแฟที่เชียงใหม่แล้วล่ะครับ “ (ยิ้ม)

เรื่องที่ประทับใจล่าสุด

บี้บอกว่าในชีวิตเขามีเรื่องประทับใจเล็กๆ น้อยๆ เยอะมาก แต่ถามว่า เรื่องไหนที่ทำให้เขาประทับใจที่สุดล่าสุด เขาตอบว่า

“ปีที่ผ่านมา ผมไปทำงานที่อเมริกา เพราะไปฝึกซ้อมแสดงบรอดเวย์เรื่อง Behind the painting หรือเรื่องข้างหลังภาพ แต่ทริปล่าสุดถือเป็นครั้งแรกที่ผมได้แสดง เพราะก่อนหน้านั้นเป็นการนั่งอ่านบท เพราะฝรั่งเขาจะแยกเลยว่านี่นั่งอ่านบทนะ นี่ยืนอ่านบทนะ เป็นคนละแบบ แต่มาล่าสุดนี้ ผมได้อ่านบทและได้เล่นเลย แต่ทำเป็นสเกลเล็กๆ เหมือนละครบรอดเวย์ในมหา’ลัย เพื่อขายชิ้นงานให้นักลงทุนดู ทีแรกไม่แน่ใจจะเล่นได้ไหม เพราะเป็นครั้งแรกที่ต้องจำบทเป็นภาษาอังกฤษ และเพลงก็เร็วมาก แต่ละคนก็เป็นทีมงานระดับโลก กลายเป็นความกังวล ไม่แน่ใจว่าจะทำได้ไหม

ช่วงนั้นถือว่าเป็นงานหนักที่สุดในชีวิต ผมทำงานวันละ 8 ชั่วโมงในระยะเวลา 1เดือนกว่า มีท้อบ้าง ร้องไห้เละเทะ เรียกว่าน้ำตาลูกผู้ชายเสียไปกับนิวยอร์กเยอะมาก จำได้ว่าวันแรกแสดงเป็นรอบซ้อม ซึ่งเป็นรอบที่เพื่อนๆ นักแสดงจะเข้ามาดู ก่อนที่นักลงทุนจะเข้ามาดูอีกรอบ ถือเป็นครั้งแรกที่ฟูลคอสตูม แล้วฟีดแบครอบนี้ดีมาก ผม ไม่คิดว่าจะทำได้ขนาดนี้ รู้สึกทำได้มากกว่าที่หวัง พอแสดงเสร็จผมก็ไปอยู่ในห้องนักแสดง ซึ่งปกติห้ามคนนอกเข้า แต่ไม่รู้พี่บอยฝ่าคนดูมาจากไหน เขาเข้ามาในห้องนักแสดงแล้วร้องไห้ฮือๆ บอกว่า “ทุกอย่างดีมากเลย ไม่คิดว่าจะทำได้ดีขนาดนี้ เราได้อยู่ในมาตรฐานเดียวกับที่ฝรั่งยืนอยู่” ผมก็กอดพี่บอยกลับ มันเป็นโมเม้นท์ที่ผมประทับใจมาก เพราะเราลุ้นกันมาและฝึกซ้อมอยู่ 2 ปี จนวันนี้ได้โชว์ แม้สเกลจะเป็นแค่ละครมหา’ลัย แต่เรารู้สึกว่าเราก็ทำได้

“ส่วนคนอื่นก็ชอบงานของผมมากๆ มีนักเขียนบทคนหนึ่งบอกว่าผมกำลังฆ่าตัวตายอยู่ เพราะเขาเห็นผมทำงานหนักมาก แล้วพอเห็นผมเล่นจริง ก็ชอบมาก เลยรู้สึกประทับใจครับ” (ยิ้ม)

อัพเดทชีวิตปัจจุบัน

ปีนี้นอกจากบี้จะมีผลงานหนังเรื่องคิดถึงวิทยาแล้ว เขายังมีซิทคอมเรื่อง “นัดกับนัด” และงานเพลงใหม่ชื่อ “รักแท้แปลว่าเธอ” ที่ปล่อยซิงเกิ้ลมาให้พวกเราฟังกันเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

“ตอนนี้ชีวิตผมโดนแขวนอยู่ (หัวเราะ) เพราะกำลังรอโปรเจกต์จากอเมริกาว่าเขาจะลงทุนละครบรอดเวย์ไหม ถ้าเขาลงทุน ผมคงต้องกลับไปที่นั่น พี่บอยบอกผมว่าโปรเจคส์บรอดเวย์เป็นความฝันของเขา ฉะนั้นให้รอพวกเขาก่อน ตอนนี้เลยไม่สามารถแพลนชีวิตอะไรได้มาก มีทำงานเพลง โปรโมตหนัง เรียนร้องเพลง เรียนการแสดงไป เพื่อรอว่าทางทีมงานฝรั่งจะคิดยังไง ส่วนคำตอบเราก็ค่อยมาพิจารณาอีกที

“ช่วงนี้เลยใช้ชีวิตชิลๆ หน่อย ถ้ามีวันว่างเมื่อไหร่ ผมจะทำสะอาดห้อง เพราะปกติเวลากลับบ้านไปก็จะโยนผ้าทิ้งไปมุมหนึ่งของห้อง พอผ่านไป 1 อาทิตย์ ผ้าจะกองสูงมาก จานชามก็มีวางแช่ทิ้งไว้ (หัวเราะ) วันหยุดเลยจะเป็นวันบิ๊กคลีนเดย์ ตื่นมาซักผ้า ล้างจาน เย็นออกไปฟิตเนส จากนั้นโทรหาเพื่อนว่าออกมาจอยกันหน่อย ผมชอบฟังเพลงก็จะหาที่ฟังเพลง แต่ไม่บ่อยมาก แค่เดือนละ 2 ครั้ง นั่งฟังเพลงก็กลับครับ”

ก่อนกลับ บี้ทิ้งท้ายบอกกับเราว่า ทุกวันนี้ความสุขของเขาคือการทำให้ตัวเองและคนรอบข้างมีความสุข

“ทุกวันนี้ความสุขของผมคือคือการทำให้ตัวเองและคนรอบข้างมีความสุข ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม คิดว่าบางครั้งเราไม่ต้องทำอะไรมากก็ได้ แค่ได้ร้องเพลงที่เรารัก ได้แหย่คนดูให้สนุกสนาน เห็นคนดูมีความสุขกับเรา เราก็มีความสุขด้วย หรือตอนเรามาทำหนัง ตอนถ่ายสนุกบ้าง เหนื่อยบ้าง แต่พอเห็นคนดูหนังเราแล้วมีความสุข ผมก็มีความสุขตามแล้วล่ะครับ” (ยิ้ม)

เรื่องโดย สุพรรษา แก้วแสงธรรม
ภาพโดย ปวริศร์ แพงราช

ขอบคุณภาพประกอบจาก GTH และอินเตอร์เน็ต

ตัวอย่างหนัง "คิดถึงวิทยา



เพลงใหม่ของบี้ "รักแท้แปลว่าเธอ"










 บี้กับพลอย  พระเอกนางเอกของหนังเรื่องคิดถึงวิทยา
ซีนหนึ่งในหนังเรื่องคิดถึงวิทยา



ในวันรอบสื่อของหนังคิดถึงวิทยา บี้ถ่ายรูปคู่กับพลอย และเหล่าผู้กำกับของค่าย GTH
บี้และทีมงานนักแสดงของละครบอร์ดเวย์ Behind the Painting


กำลังโหลดความคิดเห็น