เอกชนเกาะติดการเมืองเมษายน ลุ้นไม่ให้เกิดปะทะนำไปสู่ความรุนแรงไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อความเชื่อมั่นทั้งการค้า การบริโภค และการลงทุน ฉุดจีดีพีดิ่งหนัก แต่หากไม่รุนแรงแต่ยังไร้ทางออก พ.ค.นี้เอกชนต้องปรับแผนธุรกิจใหม่รองรับ ขณะที่จีดีพีอาจโตได้แค่ 0-1%
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ภาคเอกชนคงจะต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในเดือน เม.ย.นี้อย่างใกล้ชิดว่าจะเกิดความรุนแรงหรือไม่อย่างไร ซึ่งหากไม่รุนแรงและยังคงยืดเยื้อต่อไปภายใน พ.ค.นี้ภาคเอกชนคงจะต้องปรับแผนธุรกิจครึ่งปีหลังใหม่และปรับการคาดการณ์ด้านการส่งออกและการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง โดยยอมรับว่าหาก พ.ค.การเมืองยังไม่จบผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพีปี 2557 คงโตได้เพียง 0-1% เท่านั้น แต่หาก เม.ย.นี้เกิดความรุนแรงผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจก็จะมีมากขึ้นและอาจถึงขั้นติดลบ
“สิ่งที่เรากังวลคือ เม.ย.นี้อย่าเป็นเมษาฮาวาย คือมีการชุมนุมจากหลายส่วนและนำไปสู่ความวุ่นวาย ซึ่งหากมีการปะทะและใช้ความรุนแรงจะยิ่งฉุดความเชื่อมั่นการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งลำพัง 2 ส่วนนี้ปัจจุบันก็แย่อยู่แล้ว หากรุนแรงและการเมืองไม่รู้จะจบอย่างไรก็จะทำให้การลงทุนบางส่วนอาจตัดสินใจไปที่อื่น และภาคธุรกิจเองบางส่วนอาจปรับแผนแล้ว แต่ที่ยังไม่ปรับคงต้องปรับแผนธุรกิจกันใหม่แน่นอนหรือแม้แต่ที่ปรับแล้วก็อาจจะต้องปรับใหม่เพิ่มอีกรอบก็ได้” นายวัลลภกล่าว
ปัจจุบันการเมืองส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงมาก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการผลิตโดยเฉพาะสินค้าที่เน้นตลาดในประเทศที่ขณะนี้ยอดขายเฉลี่ยลดลง 30-50% โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและย่อม หรือเอสเอ็มอีจะพบว่ายอดขายเฉลี่ยลดลงถึง 50% สินค้าอุปโภค บริโภคเองยังปรับลด ชี้ให้เห็นถึงประชาชนมีการใช้จ่ายต่ำซึ่งคาดว่าส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ชาวนายังไม่ได้รับเงินจำนำข้าว โดยมองว่าไตรมาส 2 การบริโภคก็ยังคงไม่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกนัก และหากการเมืองยังไม่มีสัญญาณที่ดีขึ้นก็อาจจะลดต่ำลงไปอีก
ส่วนความเชื่อมั่นการลงทุนนั้น แม้ว่ายอดคำขอรับส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรกจะยังคงมีเข้ามาแต่ก็ต่ำกว่าไตรมาสแรกค่อนข้างมาก ซึ่งไม่อาจปฏิเสธว่าเป็นเพราะนักลงทุนชะลอการตัดสินใจเพื่อรอดูทิศทางการเมืองเพราะการลงทุนยังมีเวลาพอที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะเห็นว่าการขยายกิจการใหม่ๆ ช่วงนี้ก็จะหยุดชะงักไปเพื่อรอดูทิศทางการเมือง
ด้านการส่งออกนั้นมีส่วนสำคัญต่อจีดีพีมาก ซึ่งขณะนี้สัญญาณจากต่างประเทศค่อนข้างดี ยกเว้นการเมืองในไทยที่จะต้องติดตามใกล้ชิด ซึ่งหากการชุมนุมเป็นไปด้วยความสงบและไม่กระทบต่อการขนส่ง การผลิตเพื่อการส่งออกก็น่าจะเติบโตได้ในระดับ 5% แต่หากการเมืองรุนแรงและยืดเยื้อ พ.ค.นี้คงจะต้องมาปรับเป้าหมายกันใหม่แน่นอนเพราะย่อมเป็นจิตวิทยาที่จะกระทบต่อความเชื่อมั่นทางการค้าทำให้ลูกค้าต้องหันไปซื้อสินค้าเพื่อนบ้านเพื่อลดความเสี่ยงระยะยาวแทน
“เรามองว่าส่งออกไตรมาสแรกคงไม่โตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และไตรมาส 2 น่าจะขยายตัวจากไตรมาสแรกได้ระดับ 3% แต่เราเองก็ยังประเมินทั้งปีได้ยากคงต้องรอภาพการเมืองในช่วง เม.ย. และ พ.ค.นี้ใหม่” นายวัลลภกล่าว