คปภ.คาดปีหน้าธุรกิจประกันโตแค่ 12-13% เหตุเศรษฐกิจไทยชะลอตัว และโครงการภาครัฐสะดุด แต่โชคดียังได้ปัจจัยหนุนจากภายนอก หลังเริ่มเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการส่งออกไทยได้ พร้อมตั้งเป้าปีหน้าดันไมโครอินชัวรันซ์เพิ่มความรู้คนไทย พร้อมเดินสายให้ความรู้ต่างจังหวัด โดยเฉพาะอีสานมากขึ้น
นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจประกันฯ ในปีหน้าจะกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ โดยคาดว่าจะมีการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 12-13% จากเดิมในปีนี้ถือว่ามีการเติบโต 16% และจะเป็นปีที่ธุรกิจประกันชีวิตกลับมามีอัตราการเติบโตมากกว่าธุรกิจประกันภัย หลังจากช่วงก่อนหน้าที่ธุรกิจประกันภัยได้รับอานิสงส์จากนโยบายรถคันแรก และการปรับขึ้นของเบี้ยประกันภัยจากเหตุการณ์น้ำท่วมทำให้มีอัตราการเติบโตมากกว่า
สำหรับในปีหน้าคาดว่าอัตราเบี้ยประกันภัยต่อจีดีพีน่าจะอยู่ที่ระดับ 6% ซึ่งเป็นไปตามแผนพัฒนาธุรกิจประกันภัยฉบับที่ 2 ส่วนปีนี้อัตราเบี้ยประกันภัยต่อจีดีพีน่าจะอยู่ที่ระดับ 5.3%
ทั้งนี้ ปัจจัยบวกของธุรกิจประกันฯ น่าจะมาจากปัจจัยภายนอกมากกว่าปัจจัยภายในประเทศ โดยแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยและการลงทุนของภาครัฐทั้งโครงการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท รวม พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทที่ต้องล่าช้าออกไปจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัยด้วยเหมือนกัน ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศน่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจมากกว่า เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียรวมถึงไทยยังดีอยู่ ถึงแม้จะชะลอตัวลงไปบ้าง ขณะที่สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปเริ่มดีขึ้น น่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกและน่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกมากกว่าการบริโภคในประเทศ
“ประเทศไทยมีผู้ที่มีรายได้อายุ 20-60 ปีอยู่ 40 ล้านคน โดยมีประกันสังคมจำนวน 12 ล้านคน และข้าราชการอีกประมาณ 1.3 ล้านคน แสดงว่ายังมีผู้มีรายได้ที่ไม่มีหลักประกันอยู่อีกมากในสังคมไทย ทำให้ธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัยยังมีโอกาสเติบโตได้อีก ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีหลักประกันจะอยู่ในต่างจังหวัด และทาง คปภ.เองมีความพยายามที่จะสร้างความรู้และผลักดันให้คนกลุ่มนี้เขัาถึงหลักประกันตนเองอยู่แล้ว”นายประเวชกล่าว
นายประเวช กล่าวอีกว่า ในการเข้าถึงกลุ่มคนต่างจังหวัดนั้น ในปีหน้า คปภ.เชื่อว่าโครงการกรมธรรม์ประกันภัยรายย่อยหรือไมโครอินชัวรันซ์ ซึ่งมีเบี้ยประกันภัยขั้นต่ำ 200 บาทจะช่วยให้เจาะกลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัดได้มากขึ้น นอกจากนี้ คปภ.จะเน้นการเดินสายเพื่อสร้างความรู้ให้แก่ประชาชนในต่างจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานที่ยังมีอัตราถือครองกรมธรรม์ในระดับต่ำอยู่
“กรมธรรม์ 200 บาทน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นให้คนกลุ่มนี้หันมาให้ความสำคัญในการคุ้มครองตนเองได้ และคาดว่าน่าจะทำได้ตามที่ตั้งไว้คือ 1 ล้านกรมธรรม์ ซึ่งเชื่อว่าหากคนเริ่มเข้าใจกับกรมธรรม์ง่ายๆ และเห็นถึงประโยชน์ของการประกันตนเองแล้ว ในอนาคตเป็นไปได้ว่าคนจะหันมาซื้อความคุ้มครองที่ซับซ้อนกว่าเดิมเพิ่มขึ้นได้”นายประเวชกล่าว
นายประเวช กล่าวว่า นอกจากการสร้างความรู้ให้ประชาชนในการประกันชีวิตแล้ว แผนของ คปภ.จะให้ความสำคัญต่อการปรับตัวเพื่อรองรับการเปิดเสรีอาเซียนในอนาคตอีกด้วย เนื่องจากบริษัทประกันฯ ในประเทศไทยเองยังต้องมีการเสริมสร้างความแข็งแกร่งเพื่อรองรับการแข่งขันในอนาคต
ทั้งนี้ จะเห็นได้จากการปรับเพิ่มเกณฑ์การตั้งสำรองของบริษัทประกันฯ โดยหลังจากนี้ คปภ.ได้พยายามส่งเสริมให้มีการควบรวมกิจการ และการขยายกิจการเพื่อสร้างความมั่นคงและสามารถแข่งขันได้ในอนาคต ซึ่งแนวทางนี้น่าจะบรรจุอยู่ในแผนพัฒนาธุรกิจประกันภัยฉบับที่ 3 ที่คาดว่าจะเริ่มในปี 2558 หลังจากฉบับปัจจุบันกำลังจะครบกำหนดในช่วงสิ้นปี 2557