พีทีที โกลบอลฯ โบกมือลาปิโตรนาส ล้มแผนการร่วมลงทุนปิโตรเคมีขั้นกลางในมาเลเซีย หลังเลื่อนไม่มีกำหนดและผลตอบแทนการลงทุนต่ำ ยังคงเดินหน้าการร่วมทุนโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่อินโดนีเซีย คาดว่ากลางปีนี้สรุปเลือกที่ตั้งโครงการได้ ฟุ้งปีนี้เป็นปีทองธุรกิจโอเลฟินส์หลังมาร์จิ้นเม็ดพลาสติกพุ่ง แต่ทั้งปี EBITDA โตไม่เกิน 10% จากปีก่อน เหตุปีนี้มีแผนปิดซ่อมโรงงานเพียบ
นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทตัดสินใจล้มการร่วมลงทุนโครงการผลิตโพลีออลและโครงการผลิตโพลีคาร์บอเนต ซึ่งเป็นปิโตรเคมีขั้นกลางกลุ่มผลิตภัณฑ์พิเศษที่มีมูลค่าสูงในประเทศมาเลเซีย ภายใต้แผนการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เรียกว่าโครงการ RAPID (Refinery & Petrochemical Integrated Development) หลังจากโครงการดังกล่าวดีเลย์มานาน และผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ต่ำกว่านโยบายการลงทุนที่กำหนด IRR ไว้ที่ 15%
การล้มแผนการลงทุนดังกล่าวในมาเลเซียไม่ส่งผลกระทบใดๆ เนื่องจากบริษัทเองก็มีแผนที่จะตั้งโรงงานผลิตโพลีออล และโพลีคาร์บอเนต ต่อยอดผลิตโพลียูรีเทนและอื่นๆ ในประเทศไทยอยู่แล้ว เพียงแต่เห็นว่าหากมีการตั้งโรงงานในมาเลเซียก็จะนำผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางจากมาเลเซียมาทำการตลาดในไทยก่อนที่โรงงานในไทยจะผลิตเชิงพาณิชย์
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2555 PTTGC ปิโตรนาส และอิโตชู ได้ลงนามความร่วมมือใน Heads of Agreement (HOA) ร่วมศึกษาการลงทุนโครงการปิโตรเคมีที่มีมูลค่าเพิ่มสูงในเขตอุตสาหกรรมใหม่ ประเทศมาเลเซีย เพื่อรองรับความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเคมีที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต และการเติบโตของตลาด AEC ที่พร้อมเป็นฐานการผลิตสำคัญของตลาดโลก
นายบวรกล่าวถึงความคืบหน้าการร่วมลงทุนกับเปอร์ตามิน่าในโครงการปิโตรเคมีครบวงจรในอินโดนีเซียว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการหาทำเลที่ตั้งโครงการ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในกลางปีนี้ หลังจากนั้นก็จะเดินหน้าออกแบบและก่อสร้างโรงงานเพื่อผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2562 โดยตั้งเป้าหมายว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดในอินโดนีเซีย 30% ขณะนี้บริษัทฯ ได้ร่วมกับเปอร์ตามิน่าทำตลาดเม็ดพลาสติกจำหน่ายในอินโดนีเซียอยู่
โดยปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 790 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นงบซ่อมบำรุงประจำปี 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่เหลือเป็นการลงทุนโครงการต่างๆ ตามแผนงานที่วางไว้ เช่น โครงการขยายเอทิลีนไกคอล ฟีนอล เป็นต้น ขณะที่กระแสเงินสดบริษัทฯ มีอยู่ 4 หมื่นล้านบาท เพียงพอต่อการลงทุน โดยมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะออกหุ้นกู้ใหม่ในช่วงเวลาใด แต่คงไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้ดีขึ้นกว่าปีก่อน และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) โตขึ้นไม่เกิน 10% จากปีก่อน เนื่องจากปีนี้บริษัทฯ จะมีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่โรงโอเลฟินส์และโรงอะโรเมติกส์หลายโรง ทำให้กำลังการผลิตลดลงไป แต่โชคดีที่ปีนี้ EBITDA ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันน่าจะดีขึ้นกว่าปี 2556 หลังจากกำลังการกลั่นใหม่เลื่อนออกไป โดยคาดว่าค่าการกลั่น (GRM) ปีนี้อยู่ที่ 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดีกว่าปีก่อนที่เฉลี่ย 4.37 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ส่วนธุรกิจโอเลฟินส์ในปีนี้จะเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรมากสุด เนื่องจากปีนี้ราคาเม็ดพลาสติกทั้ง HDPE LDPE ปรับตัวสูงขึ้น และมีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด) อยู่ในระดับที่สูงกว่าปีก่อนด้วย โดยปีนี้คาดว่าราคาเม็ดพลาสติก HDPE อยู่ที่ 1,531 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงกว่าปีก่อนที่เฉลี่ย 1,488 เหรียญสหรัฐ/ตัน และปีนี้มีสเปรด 622 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงกว่าเฉลี่ยปีก่อนที่ 566 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนเม็ดพลาสติก LDPE ปีนี้เฉลี่ย 1,658 เหรียญสหรัฐ/ตัน ดีกว่าปีก่อนที่เฉลี่ย 1,534 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ธุรกิจอะโรเมติกส์ โดยเฉพาะพาราไซลีนคาดว่าจะต่ำกว่าปีก่อน เนื่องจากมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาทำให้ราคาและสเปรดลดลง แต่ในส่วนเบนซีนราคายังสูงอยู่ แต่เชื่อว่าครึ่งปีหลังนี้ราคาพาราไซลีนน่าจะสูงขึ้น เนื่องจากโรงงานผลิตพีทีเอใหม่สามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้
“ครึ่งปีหลังนี้โรงโอเลฟินส์จะมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง เนื่องจากโรงแยกก๊าซฯ สามารถป้อนวัตถุดิบเข้าโรงโอเลฟินส์ได้เต็มที่ในเดือน เม.ย.นี้ ทำให้ต้นทุนการผลิตครึ่งปีหลังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนแน่นอน รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนปีนี้คาดว่าเงินบาทจะอ่อนค่าอยู่ที่ 32.5 บาท/ดอลลาร์ ทำให้รายได้บริษัทในรูปเงินบาทสูงกว่าปีก่อนด้วย”