สินค้านำเข้าแข่งดุ สงครามหั่นราคาชิงเม็ดเงินผู้บริโภคสูง “ฟู้ดแกลเลอรี่” หลีกทาง ชูเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์ปั๊มรายได้คุ้มกว่า ล่าสุดจับมือ วิลล่า มาร์เกต เจพี และศูนย์การค้าเควิลเลจ จัดงาน Taste of Korea 2013 สร้างแบรนด์เทศกาลผลไม้จากแดนกิมจิ หวังส่งรายได้ปีนี้เติบโต 30% ตามเป้า
นางสาวจารุวรรณ สัตตะพันธ์คีรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ดแกลเลอรี่ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย ผัก ผลไม้ และอาหารจากต่างประเทศทั่วทุกมุมโลก เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้นำเข้าผัก ผลไม้ และอาหาร จากต่างประเทศหลายราย ทำให้ตลาดมีการแข่งขันสูงมาก โดยเฉพาะในเรื่องของราคาที่มีการลดราคาลงมาแข่งขันมาก
ทั้งนี้ ในส่วนของฟู้ดแกลเลอรี่จะไม่เน้นทำตลาดในรูปแบบดังกล่าว แต่จะเน้นความเป็นเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์ หรือเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย รวมถึงสินค้าที่นำเข้ามาจะเน้นสินค้าที่มีแบรนด์เป็นที่รู้จักกันดีในประเทศนั้นๆ ส่วนในไทยก็จะพยายามสร้างแบรนด์แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
ล่าสุดได้จับมือกับทางบริษัท วิลล่า มาร์เกต เจพี จำกัด และศูนย์การค้าเควิลเลจ สุขุมวิท 26 จัดงาน Taste of Korea 2013 ที่สุดเทศกาลผลไม้จากแดนกิมจิแห่งปี 2013 เพื่อให้ผู้ชื่นชอบบริโภคผลไม้จากประเทศเกาหลีมีโอกาสได้ลิ้มลองความสดอร่อยจากแอปเปิล ลูกแพร และสตรอว์เบอร์รี เชื่อว่าจะได้รับการตอบที่ดีจากผู้บริโภค
นางสาวจารุวรรณกล่าวต่อว่า การดำเนินธุรกิจนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศนั้น ที่ผ่านมายังไม่พบอุปสรรคในการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าเงินบาทที่อาจจะมีการผันผวนบ้าง แต่เมื่อรวมกันทั้งปีแล้วถือว่าถัวเฉลี่ยกันไปทำให้ต้นทุนยังใกล้เคียงกับที่วางไว้
ส่วนปัญหาทางการเมืองส่งผลกระทบทางอ้อม คือมีผลต่อการขนส่งสินค้าไปยังช่องทางขายเท่านั้น ขณะที่กลุ่มผู้บริโภคหลักยังคงจับจ่ายตามปกติ เพราะส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติ เป็นต้น ซึ่งอาจจะมีปัญหาบ้างในเรื่องของสินค้าเกษตร เพราะมีข้อจำกัดเกี่ยวกับอายุที่สั้น ทำให้ลำบากในการขนส่ง รวมถึงนโยบายของทางการค้าในการจำกัดการนำเข้าสินค้าบางตัว เป็นต้น ส่วนภาษีการนำเข้านั้นยังอยู่ที่ 30%
ปัจจุบันฟู้ดแกลเลอรี่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศอยู่ 6 กลุ่ม คือ 1. แดรี เช่น นม เนย 2. ผัก ผลไม้สด 3. โฟสเซน เช่น เค้ก เบเกอรี เนื้อ และผลไม้ 4. เบเกอรี 5. สแน็ก และ 6. เบฟเวอเรจ รวมกันกว่า 1,000 เอสเคยู ซึ่งรายได้หลักมาจากกลุ่มผัก ผลไม้สดกว่า 50% อันดับสองคือ เบฟเวอเรจ 20% ที่เหลือมาจากกลุ่มอื่นรวมกัน ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้น 30% ตามแผนที่วางไว้ ส่วนในปีหน้าคาดว่าจะมีการเติบโตใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 25-30% เช่นกัน
นางสาวจารุวรรณ สัตตะพันธ์คีรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ดแกลเลอรี่ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย ผัก ผลไม้ และอาหารจากต่างประเทศทั่วทุกมุมโลก เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้นำเข้าผัก ผลไม้ และอาหาร จากต่างประเทศหลายราย ทำให้ตลาดมีการแข่งขันสูงมาก โดยเฉพาะในเรื่องของราคาที่มีการลดราคาลงมาแข่งขันมาก
ทั้งนี้ ในส่วนของฟู้ดแกลเลอรี่จะไม่เน้นทำตลาดในรูปแบบดังกล่าว แต่จะเน้นความเป็นเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์ หรือเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย รวมถึงสินค้าที่นำเข้ามาจะเน้นสินค้าที่มีแบรนด์เป็นที่รู้จักกันดีในประเทศนั้นๆ ส่วนในไทยก็จะพยายามสร้างแบรนด์แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
ล่าสุดได้จับมือกับทางบริษัท วิลล่า มาร์เกต เจพี จำกัด และศูนย์การค้าเควิลเลจ สุขุมวิท 26 จัดงาน Taste of Korea 2013 ที่สุดเทศกาลผลไม้จากแดนกิมจิแห่งปี 2013 เพื่อให้ผู้ชื่นชอบบริโภคผลไม้จากประเทศเกาหลีมีโอกาสได้ลิ้มลองความสดอร่อยจากแอปเปิล ลูกแพร และสตรอว์เบอร์รี เชื่อว่าจะได้รับการตอบที่ดีจากผู้บริโภค
นางสาวจารุวรรณกล่าวต่อว่า การดำเนินธุรกิจนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศนั้น ที่ผ่านมายังไม่พบอุปสรรคในการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าเงินบาทที่อาจจะมีการผันผวนบ้าง แต่เมื่อรวมกันทั้งปีแล้วถือว่าถัวเฉลี่ยกันไปทำให้ต้นทุนยังใกล้เคียงกับที่วางไว้
ส่วนปัญหาทางการเมืองส่งผลกระทบทางอ้อม คือมีผลต่อการขนส่งสินค้าไปยังช่องทางขายเท่านั้น ขณะที่กลุ่มผู้บริโภคหลักยังคงจับจ่ายตามปกติ เพราะส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติ เป็นต้น ซึ่งอาจจะมีปัญหาบ้างในเรื่องของสินค้าเกษตร เพราะมีข้อจำกัดเกี่ยวกับอายุที่สั้น ทำให้ลำบากในการขนส่ง รวมถึงนโยบายของทางการค้าในการจำกัดการนำเข้าสินค้าบางตัว เป็นต้น ส่วนภาษีการนำเข้านั้นยังอยู่ที่ 30%
ปัจจุบันฟู้ดแกลเลอรี่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศอยู่ 6 กลุ่ม คือ 1. แดรี เช่น นม เนย 2. ผัก ผลไม้สด 3. โฟสเซน เช่น เค้ก เบเกอรี เนื้อ และผลไม้ 4. เบเกอรี 5. สแน็ก และ 6. เบฟเวอเรจ รวมกันกว่า 1,000 เอสเคยู ซึ่งรายได้หลักมาจากกลุ่มผัก ผลไม้สดกว่า 50% อันดับสองคือ เบฟเวอเรจ 20% ที่เหลือมาจากกลุ่มอื่นรวมกัน ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้น 30% ตามแผนที่วางไว้ ส่วนในปีหน้าคาดว่าจะมีการเติบโตใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 25-30% เช่นกัน