“พาณิชย์” จัดงาน อนาคตเศรษฐกิจไทยภายใต้เออีซี 28 ต.ค.นี้ หวังสร้างความตื่นตัวให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจ เตรียมโชว์ความพร้อม 12 อุตสาหกรรมไทยรุกตลาดอาเซียน เปิดคลินิกหารือช่องทางทำการค้า การลงทุนกับทูตพาณิชย์โดยตรง พร้อมขนสินค้าโอทอปพรีเมียม สินค้าศิลปาชีพ และสินค้าธงฟ้า จำหน่ายราคาพิเศษ
นายวุฒิชัย ดวงรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์จะจัดงาน “อนาคตเศรษฐกิจไทยภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ในวันที่ 28 ต.ค.-9 พ.ย. 56 ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานเปิดงาน เพื่อสร้างความตื่นตัวเกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2558 ให้แก่ภาคประชาชน ผู้ประกอบการ และภาคธุรกิจ ที่จะต้องเตรียมรับมือ เพราะจะมีทั้งโอกาสและความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน และการเคลื่อนย้ายเงินทุน และแรงงานมีฝีมือ
ทั้งนี้ ภายในงานจะจัดแสดงความพร้อมของอุตสาหกรรมต่างๆ ของไทย 12 กลุ่มอุตสาหกรรม (คลัสเตอร์) ได้แก่ ลอจิสติกส์, อาหาร, เกษตร, ยางพารา, รถยนต์, แฟชั่น, ต่อเรือ, พลังงานทดแทน, การขนส่ง, ก่อสร้าง, สปา และสิ่งพิมพ์และหีบห่อ โดยทั้ง 12 กลุ่มอุตสาหกรรมนี้ไทยมีขีดความสามารถและมีโอกาสในการเพิ่มความร่วมมือและเชื่อมโยงเข้ากับประเทศอาเซียนอื่นๆ ได้ ซึ่งจะส่งผลให้ไทยยังคงความเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอาเซียนหลังจากเปิดเออีซีแล้ว
“จะโชว์ให้เห็นตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำว่าในแต่ละอุตสาหกรรมไทยอยู่ตรงไหน ไทยจะร่วมมือกับอาเซียนในการพัฒนาอุตสาหกรรม หรือร่วมมือในอุตสาหกรรมนั้นๆ ได้อย่างไร เพื่อให้ไทยยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมได้ต่อไป” นายวุฒิชัยกล่าว
สำหรับเป้าหมายในการพัฒนาทั้ง 12 กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มลอจิสติกส์ตั้งเป้าหมายเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน การเชื่อมโยงโครงข่ายถนนเชื่อมต่อในอาเซียน และการเชื่อมโยงทางทะเลในอาเซียน, กลุ่มสุขภาพและความงาม ตั้งเป้าหมายผลักดันธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และการเชื่อมโยงกับเออีซี โดยให้สอดรับกับนโยบายเมดิคัลฮับ ซึ่งไทยมีจุดแข็งอยู่แล้ว, คลัสเตอร์ท่องเที่ยว ตั้งเป้าหมายการเข้าถึง และเชื่อมโยงภายในอาเซียน โดยจะผนวกรวมกับธุรกิจการประชุมและนิทรรศการนานาชาติ (ไมซ์) เพราะไทยมีนโยบายพัฒนาการท่องเที่ยวผ่านรูปแบบการประชุม สัมมนา และนิทรรศการ และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากอาเซียนเข้ามาท่องเที่ยวไทยมากขึ้น
ขณะที่คลัสเตอร์อู่ต่อเรือ ภายใน 5 ปีแรก หรือภายในปี 2563 จะเน้นการผลิตเรือภายในประเทศให้มากขึ้น ส่วนในระยะ 2 หรือภายใน 10 ปีจะมุ่งทำตลาดต่างประเทศ และเป็นผู้นำเรือเฉพาะทาง เช่น เรือท่องเที่ยว เรือขนส่ง และภายใน 15 ปีจะสร้างความเป็นเลิศในระดับสากล โดยตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางอู่ต่อเรือ, คลัสเตอร์ยานยนต์ จะเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างยานยนต์ในอนาคตที่เน้นการประหยัดน้ำมัน, คลัสเตอร์เกษตร ตั้งเป้าหมายเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรสำคัญของไทยในตลาดอาเซียน, คลัสเตอร์อาหาร ตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นครัวของโลก ที่จะเน้นความโดดเด่นด้านความปลอดภัย สินค้าได้มาตรฐานสากล และมาตรฐานอาหารฮาลาล
ส่วนคลัสเตอร์ยางพาราและไม้ยาง จะสร้างความร่วมมือกับอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ในด้านการสร้างโอกาสทางธุรกิจของผลิตภัณฑ์จากไม้ยาง และน้ำยางพารา, คลัสเตอร์สิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ จะพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อป้อนปริมาณการขนส่งสินค้าในแต่ละอุตสาหกรรมที่จะเพิ่มขึ้น รวมถึงการเชื่อมโยงกับเออีซีผ่านโครงการ 2 ล้านล้าน, คลัสเตอร์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ จะเน้นการพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางแฟชั่น, คลัสเตอร์พลังงานและสิ่งแวดล้อม เน้นการพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมจากภาคการเกษตรเพื่อสร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ และการเป็นศูนย์กลางของพลังงานทดแทนแบบใหม่ๆ รวมถึงตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำพลังงานหมุนเวียนของอาเซียน และคลัสเตอร์ก่อสร้างและวัสดุ จะเน้นพัฒนาแรงงาน รูปแบบผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรมในอาเซียน และเชื่อมโยงกับโครงการ 2 ล้านล้าน
นอกจากนี้ยังได้เปิดคลินิกให้คำปรึกษา โดยเชิญหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนมาให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเออีซี โอกาสด้านการค้า การลงทุน การสนับสนุนด้านเงินทุนของสถาบันการเงิน และเชิญทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในอาเซียนทั้ง 9 ประเทศมาให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจจะทำตลาดอาเซียน ขณะเดียวกัน จะจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อช่วยเหลือด้านค่าครองชีพให้แก่ประชาชน และนำสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอทอป) ที่ผ่านการคัดสรรว่าเป็นสุดยอด มาจัดแสดงและจำหน่าย โดยเน้นสินค้าไลฟ์สไตล์ สิ่งทอ และอาหาร นำสินค้าจากศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศ และสินค้าธงฟ้าราคาถูกกว่าท้องตลาด 20-40% มาจำหน่ายด้วย
