xs
xsm
sm
md
lg

PTTGC ฟุ้งกำไรไตรมาสนี้ใกล้เคียง Q3/55 ลั่นสรุปผลศึกษาปิโตรฯ ที่อินโดฯ ต.ค.นี้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองร่วมกับผู้บริหารปตท.เปิดงานซีฟู้ดระยอง สะอาด ปลอดภัย
ASTVผู้จัดการรายวัน - พีทีที โกลบอลฯ มั่นใจผลศึกษาสรุปโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่อินโดนีเซียได้ ต.ค.-พ.ย.นี้ โดยจะลงนามสัญญาร่วมทุนในปลายปี 56 ก่อนหาพันธมิตรใหม่เสริมเพื่อเดินหน้าโครงการ คาดเลือกพื้นที่บาลองกันที่อินโดฯ เป็นที่ตั้งโครงการ เหตุมีโรงกลั่นเดิมอยู่แล้ว แย้มไตรมาส 3 นี้มีกำไรใกล้เคียงช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 1.29 หมื่นล้านบาท แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากท่อน้ำมันรั่ว โรงงานปิดซ่อมบำรุง และโรงแยกก๊าซฯ 5 หยุด

นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่อินโดนีเซียว่า บริษัทได้ศึกษาร่วมกับเปอร์ตามินา รัฐวิสาหกิจพลังงานของอินโดนีเซียเกี่ยวกับโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ซึ่งมีข้อสรุปบ้างแล้ว นำไปสู่การตัดสินใจช่วงสุดท้ายในเดือน ต.ค.-พ.ย.นี้ หากพบว่าโครงการดังกล่าวมีความเป็นไปได้ในการลงทุนก็จะลงนามสัญญาร่วมทุนระหว่างเปอร์ตามินา กับบริษัทฯเพียง 2 รายก่อนเพื่อให้โครงการเดินหน้าไปได้ หลังจากนั้นค่อยหาพันธมิตรเข้ามาร่วมทุนต่อไป

สำหรับพื้นที่ตั้งโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์นั้นได้ศึกษาพื้นที่บาลองกัน (Balongan) เป็นหลัก เนื่องจากมีโรงกลั่นน้ำมันเดิมอยู่แล้วประมาณ 2 แสนบาร์เรล/วัน ขณะเดียวกันก็มีการเสนอพื้นที่ทางเลือกไว้ด้วย ซึ่งจะมีการเดินทางไปดูพื้นที่อีกครั้งก่อนตัดสินใจ นอกจากนี้ยังเห็นชอบประเด็นขอบเขตของโครงการลงทุนตั้งแต่ปิโตรเคมีต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ พร้อมทั้งพิจารณาใช้วัตถุดิบหลักและระบบโครงสร้างพื้นฐาน และท่าเรือโดยยึดรูปแบบการลงทุนโครงการปิโตรเคมีของไทยที่มีความหลากหลายในการใช้วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยมีทั้งโรงโอเลฟินส์ โรงอะโรเมติกส์ และอุตสาหกรรมปลายน้ำอื่นๆ สำหรับเม็ดเงินลงทุนโครงการนี้จะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้

หากโครงการนี้คุ้มค่าการลงทุนเชื่อว่าจะจัดหาเงินกู้แล้วเสร็จในปลายปี 2557 เนื่องจากอินโดนีเซียมีประชากรสูงถึง 200 ล้านคน มีความต้องการใช้เม็ดพลาสติกมากขึ้น ขณะที่กำลังการผลิตมีน้อยทำให้ต้องนำเข้าเม็ดพลาสติกเกือบทุกชนิด ดังนั้นโครงการนี้จะป้อนตลาดภายในประเทศเป็นหลัก

นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล กล่าวต่อไปว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2556 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.29 หมื่นล้านบาท แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเหตุการณ์ท่อน้ำมันรั่วกลางทะเลที่ระยอง โรงแยกก๊าซฯหน่วยที่ 5 ปิดซ่อมหลังเกิดฟ้าผ่า การหยุดโรงงานผลิต LDPE ก็ตาม เนื่องจากไตรมาสนี้ราคาผลิตภัณฑ์พลาสติกดีและมาร์จิ้นสูงอยู่

โดยราคาเม็ดพลาสติก HDPE อยู่ที่ 1,485 เหรียญสหรัฐ/ตัน เทียบกับราคาเฉลี่ยปีก่อนอยู่ที่ 1,370 เหรียญสหรัฐ/ตัน คาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE ปีนี้อยู่ที่ 1,450 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นจากเหตุการณ์ความไม่สงบในซีเรียทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งไปแตะ 112 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เชื่อว่าน่าจะเป็นเหตุการณ์ในช่วงระยะสั้น คงต้องติดตามใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่น่าจะดันราคาเม็ดพลาสติก HDPE ให้ขยับสูงขึ้นไปกว่านี้อีก โดยล่าสุดส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับแนฟทา (สเปรด) อยู่ที่ 550 เหรียญสหรัฐ/ตัน

ส่วนแผนการขยายคอขวดโรงเอทิลีนแครกเกอร์ 1 ล้านตันอีก 10-20% นั้น ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับ ปตท.เกี่ยวกับวัตถุดิบที่จะใช้ป้อนโรงงานส่วนขยายกำลังการผลิตนี้ว่ามีเพียงพอหรือไม่ เบื้องต้นคาดว่าจะขอซื้ออีเทนเพิ่มขึ้นจาก ปตท. หลังจากนั้นจะพิจารณาว่าจะขยายกำลังการผลิตโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกใดบ้างทั้งHDPE LLDPE LDPE เพื่อรองรับโอเลฟินส์ที่ผลิตเพิ่มขึ้นนี้ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้

วันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา นายวิชิต ชาติไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง พร้อมด้วยผู้ประกอบการร้านอาหารทะเล จับมือพีทีที โกลบอล เคมิคอล จัดงาน “ซีฟู้ดระยอง สะอาด ปลอดภัย” เพื่อเร่งฟื้นฟูรายได้แก่ผู้ประกอบการในอำเภอบ้านเพและพื้นที่ใกล้เคียงอย่างเร่งด่วน และเรียกความเชื่อมั่นคืนสู่นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ โดยมีนักวิชาการและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดออกมายืนยันว่า จากการเก็บตัวอย่างอาหารทะเลที่จับในระยองทั้งปลา กุ้ง หอย ปลาหมึกไม่พบสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง รวมถึงโลหะหนักทั้งปรอท ตะกั่ว สารหนู และแคดเมียมเกินมาตรฐานแต่อย่างใด และจะมีการเก็บตัวอย่างมาตรวจสอบเป็นระยะ สร้างความมั่นใจว่าอาหารทะเลระยองสามารถบริโภคได้

ภายในงานบริษัทฯ ได้มอบเงินเยียวยาแก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ท่อน้ำมันรั่วในทะเลระยอง โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้มีการจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้เดือดร้อนไปแล้ว 2,526 ราย คิดเป็นวงเงินประมาณ 94.10 ล้านบาท โดยจะมีการจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้เดือดร้อนเพิ่มเติมในอนาคต
กำลังโหลดความคิดเห็น