- บริษัทของจีน รัสเซีย และสหรัฐได้ร่วมมือกันก่อตั้งบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือแห่งใหม่อย่างเป็นทางการ ชื่อว่า ยูนิเวอร์แซล เครดิต เรตติ้ง กรุ๊ป (UCRG) ด้วยเป้าหมายที่จะวางรากฐานระบบการจัดอันดับความน่าเชื่อถือใหม่ภายในปี 2563 และจะนำเสนอข้อมูลด้านความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจทั่วโลกภายในปี 2568
- ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า ECB พร้อมจะดำเนินทุกมาตรการในกรณีที่มีความจำเป็น แต่การเติบโตของเศรษฐกิจจริงจะขึ้นอยู่กับมาตรการต่างๆของรัฐบาลแต่ละประเทศ โดยประธาน ECB ได้เรียกร้องให้รัฐบาลของประเทศในกลุ่มยูโรโซนควบคุมการขาดดุลงบประมาณ และพยายามพึ่งพารายได้จากภาษีให้น้อยลงเพื่อกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือน รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายเพื่อเน้นลงทุนสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
- ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของเยอรมนีในเดือนก.ค.เพิ่มขึ้นแตะระดับ 6.8 จากระดับ 6.5 ในเดือนก่อน เป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2550 บ่งชี้ว่า ผู้บริโภคยังมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจเยอรมนีจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง และค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น
- GDP ในไตรมาส 1 ของฝรั่งเศสหดตัวลง 0.2% คงที่จากการประเมินครั้งแรก ทำให้เศรษฐกิจหดตัวลงเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจฝรั่งเศสได้กลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง
- GDP ในไตรมาส 1 ของสหรัฐขยายตัวลดลงเหลือ 1.8% จากระดับ 2.4% จากการประเมินครั้งก่อน จากการปรับลดการขยายตัวของการอุปโภคบริโภคภาคครัวเรือนลงเหลือ 2.6% จากระดับ 3.4% ซึ่งการใช้จ่ายดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนถึง 70% ของเศรษฐกิจสหรัฐ
- จีนจะเริ่มตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทางเศรษฐกิจที่รวมรวมจากภาคธุรกิจเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ หลังจากถูกตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจจริง โดยผอ.สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน กล่าวว่า มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องป้องกันการแจ้งข้อมูลเท็จ และหน่วยงานใดที่ให้ข้อมูลเท็จจะต้องถูกลงโทษในอัตราสูงสุด
- นายโรเบิร์ต มันเดลล์ นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล กล่าวว่า ภาวะสภาพคล่องตึงตัวในตลาดการเงินจีนไม่ใช่วิกฤต แต่เป็นเพียงปัญหาที่อาจทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนลดลง และเชื่อว่า รัฐบาลจีนพอใจกับอัตราการขยายตัวที่ลดลงถ้าสามารถลดยอดหนี้สินลงได้มากพอและการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วนของจีนในปัจจุบัน
- นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ยอมรับว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อไทย เนื่องจากจีนถือเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย ทำให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจอาจต้องปรับประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยลง
- การส่งออกของไทยในเดือนพ.ค.มีมูลค่า 19,830 ล้านดอลลาร์ ลดลง 5.25% จาก +10.52% ในเดือนก่อน และมีการนำเข้าเท่ากับ 22,134 ล้านดอลลาร์ ลดลง 2.14% จาก +8.91% ในเดือนก่อน ทำให้มียอดขาดดุลการค้ารวม 2,304 ล้านดอลลาร์ โดยการส่งออกที่ลดลงมีปัจจัยจาก 1) ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว 2) ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และผันผวนมาก และ 3) สินค้าเกษตรได้รับผลกระทบจากปัญหาสภาพอากาศ และโรคระบาดในกุ้ง รวมทั้งการแข่งขันที่สูงในสินค้าข้าว ทั้งนี้ ก.พาณิชย์ยังคงเป้าการส่งออกในปีนี้ที่ 7-7.5% และคาดว่า ในช่วงเดือนมิ.ย.การส่งออกจะมีสัญญาณฟื้นตัวกลับมาจากค่าเงินบาทที่อ่อนลง
- ธปท.ออกประกาศเพื่อผ่อนคลายเกณฑ์การลงทุนต่างประเทศ โดยกำหนดให้ 1) บุคคลธรรมดาลงทุนโดยตรงในต่างประเทศได้ไม่จำกัดวงเงิน และ สามารถฝากสกุลเงินต่างประเทศกับสถาบันการเงินได้ไม่จำกัดวงเงิน 2) ผู้ลงทุนสถาบันสามารถลงทุนในตราสารต่างประเทศและอนุพันธ์ได้ไม่จำกัดวงเงิน 3) บุคคลรายย่อยลงทุนในตราสารต่างประเทศและอนุพันธ์ได้ตามวงเงินที่ได้รับจัดสรรจากกลต. แต่ยังต้องลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์หรือกองทุนส่วนบุคคล
- SET Index ปิดที่ 1,424.38 จุด เพิ่มขึ้น 39.75 จุด หรือ 2.87% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 74,975.45 ล้านบาท เป็นการปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับตลาดในภูมิภาคหลังความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสภาพคล่องตึงตัวของจีนเริ่มผ่อนคลายลง การฟื้นตัวนำโดยหุ้นกลุ่มขนส่ง +6.96% และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ +5.33% หลังจากที่ร่วงลงแรงก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ มีการขายหุ้น MAKRO จากบริษัท SHV มูลค่า 1.76 หมื่นล้านบาท ซึ่งทำให้มูลค่าการขายของนักลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับที่สูงถึง 16,908 ล้านบาท
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวในช่วง -0.02% ถึง +0.01% โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ 386.31 ล้านบาท จากการขายตราสารหนี้อายุเกิน 1 ปี จำนวน 3,920 ล้านบาท สำหรับวันนี้มีประมูลพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยอายุ 14 วัน มูลค่า 30,000 ล้านบาท