- ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนในยูโรโซนประจำเดือนเม.ย.ลดลงสู่ -17.3 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย.2012 โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่อไซปรัส
- Moody’s คาดการณ์ว่ายอดขาดดุลงบประมาณของสเปนในปีนี้จะอยู่ที่6% ของ GDPซึ่งยังคงสูงกว่าเป้าหมายที่สหภาพยุโรป (EU) กำหนดเอาไว้ที่ระดับ 4.5% ส่งผลให้แนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของสเปนยังคงอยู่ใน“เชิงลบ” ต่อไป
- ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีในเดือนก.พ.ปรับเพิ่มขึ้น0.5% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนม.ค.ซึ่งนับเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจเยอรมนีได้กลับมาขยายตัวได้อีกครั้งหลังจากที่หดตัวลงในไตรมาสสุดท้ายปี2555
- ยอดส่งออกของเยอรมนีในเดือนก.พ. ลดลง 1.5%เมื่อเทียบกับเดือน ม.ค. โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มยูโรซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญในขณะที่การนำเข้าลดลงเช่นเดียวกันที่ 3.8% แสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเยอรมนีจะต้องใช้ระเวลานานกว่าที่เคยประเมินไว้
- ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของอังกฤษในเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 0.8%เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ที่ลดลง1.9% จากการฟื้นตัวหลังเกิดพายุหิมะอนึ่ง ยังคงต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจของยูโรโซนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของอังกฤษอย่างใกล้ชิดเนื่องจากจะมีผลกระทบต่อแนวโน้มภาคการผลิตของอังกฤษอย่างมีนัยสำคัญ
- นายเบนเบอร์นันเก้ ประธานธ.กลางสหรัฐ(FED) เปิดเผยว่า ภาคธนาคารของสหรัฐมีความแข็งแกร่งและสามารถเผชิญความเสี่ยงได้มากขึ้นจากช่วงวิกฤตการเงิน โดยได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจโดยรวมที่ฟื้นตัวขึ้น
- ดัชนีภาวะทางธุรกิจของออสเตรเลียในเดือนมี.ค.ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ4 ปีที่ -7จากการอ่อนแรงอย่างต่อเนื่องในภาคค้าปลีกและการผลิต
- ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) ของจีนในเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 2.1% เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าเดือนก.พ.ที่ ระดับ 3.2% เนื่องจากราคาอาหารลดลงประกอบกับการที่ธ.กลางจีนดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันภาวะฟองสบู่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อจะไม่เป็นเรื่องน่าวิตกสำหรับผู้กำหนดนโยบายในปีนี้
- ธ.เพื่อการพัฒนาเอเชีย(ADB) คาดว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัว8.2% ปีนี้ และ 7.8% ในปีหน้า ด้วยแรงกระตุ้นจากภายในประเทศทั้งในส่วนของการบริโภคและการใช้จ่ายภาครัฐแทนการพึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศที่พัฒนาแล้ว
- นสพ.นิกเกอิรายงานว่า ธ.กลางญี่ปุ่น (BOJ) จะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) อายุมากกว่า 5 ปี ด้วยวงเงิน 1.2 ล้านล้านเยนในสัปดาห์นี้ ซึ่งอยู่ในแผนของ BOJ ที่จะซื้อพันธบัตร 5 ครั้งด้วยวงเงินรวม 6.2 ล้านล้านเยนภายในเดือนนี้
- สินเชื่อภาคครัวเรือนของเกาหลีใต้ณ สิ้นเดือน ก.พ. ลดลง 1.8ล้านล้านวอนจากเดือน ม.ค. สู่ 654.4 ล้านล้านวอน เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อเพื่อที่พักอาศัยยังคงอ่อนแอแม้จะมีมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาลแล้วก็ตาม
- รายงานฉบับล่าสุดเกี่ยวกับประมาณการเศรษฐกิจไทยที่จัดทำโดยADB เปิดเผยว่า;
- เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่4.9%ในปีนี้และ 5%ในปี 2557 โดยมีปัจจัยสำคัญจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและสามารถผลักดันให้เศรษฐกิจไทยในช่วง1-2 ปีนี้ เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ รัฐบาลต้องดูแลการเพิ่มรายได้ด้วยการขยายฐานภาษีให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายรวมถึงดูแลเรื่องความโปร่งใสในการก่อสร้าง
- การส่งออกจะขยายตัว10% ในปีนี้และ11%ในปี 2557 จากการขยายตัวของประเทศ คู่ค้าหลักอย่างจีนและอาเซียน
- อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันที่ 2.75% เป็นระดับที่เหมาะสมแล้ว โดยเห็นได้จากการบริโภค การลงทุน รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกเริ่มกลับมาดีขึ้นขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก โดยคาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3.2% ในปีนี้ และลดลงเล็กน้อยอยู่ที่3.1% ในปี 2557
- เงินทุนที่ไหลเข้ามาจำนวนมากในขณะนี้ยังไม่ทำให้เกิดปัญหาฟองสบู่ในตลาดหลักทรัพย์ ส่งผลให้ยังไม่มีความจำเป็นต้องออกมาตรการใดๆมาดูแลการไหลเข้าของเงินลงทุน อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินบาทอาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันของผู้ส่งออกในอนาคตได้
- SETIndex วันอังคารที่ 9เม.ย. ปิดที่1,470.72 จุดลดลง 18.81 จุด หรือ -1.26% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 38,016.43 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,346.64 ล้านบาท ทั้งนี้ดัชนีคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวันและมีแรงขายอย่างมากในหลักทรัพย์กลุ่มธนาคารอสังหาฯ และพลังงาน โดยได้รับแรงกดดันจากความขัดแย้งของคาบสมุทรเกาหลี ประกอบกับการที่นักลงทุนต่างชะลอลงทุนก่อนถึงวันหยุดยาว
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ1 ปีขึ้นไป ปรับตัวลดลงในช่วงระหว่าง -0.01% ถึง - 0.05%เป็นไปตามความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ลดลงหลังตัวเลขเศรษฐกิจมีแนวโน้มเชิงลบส่งผลต่อ GlobalSentiment ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิเท่ากับ 12,829 ล้านบาท สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตรรัฐบาลอายุ 8 ปี และ 28 ปี มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท
- ดอยช์แบงก์ ปรับลดคาดการณ์แนวโน้มราคาทองในปี2556 มาสู่ระดับ 1,637 ดอลลาร์/ออนซ์ อันเนื่องมาจากผลกระทบจากดอลลาร์ที่แข็งค่าประกอบกับเศรษฐกิจสหรัฐที่กำลังปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้นักลงทุนมีความต้องการซื้อหุ้นมากกว่าสินค้าโภคภัณฑ์
