ASTVผู้จัดการรายวัน - “บ้านปู” เซ็งราคาถ่านหินในช่วง มี.ค.นี้ร่วงแตะ 87-88 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากต้นปีนี้ 95 เหรียญสหรัฐ/ตัน คาดแนวโน้มดัชนีราคาถ่านหินตลาดโลกปีนี้ต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ 95 เหรียญสหรัฐ ยันบริษัทตั้งเป้า EBITDA ปีนี้ใกล้เคียงปีก่อน 900 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU) เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีราคาถ่านหินตลาดนิวคาสเซิลในปีนี้จะต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เฉลี่ย 95 เหรียญสหรัฐ/ตัน หลังจากราคาถ่านหินในช่วงในเดือน มี.ค.นี้ ราคาถ่านหินได้อ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 87-88 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากต้นปีนี้ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 95 เหรียญสหรัฐ/ตัน สืบเนื่องมาจากหลายปัจจัย อาทิ ฤดูกาล โดยจีนในฐานะผู้ซื้อถ่านหินรายใหญ่มีการทยอยซื้อถ่านหินเป็นช่วงๆ โดยเฉพาะไตรมาส 2-3 การซื้อของตลาดโดยรวมจะไม่มากเท่ากับไตรมาส 4 และไตรมาส 1 ขณะที่กำลังการผลิตถ่านหินในอินโดนีเซียปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากฝนตกน้อยลงกว่าปกติ
อย่างไรก็ตาม หากราคาถ่านหินลดต่ำมาอยู่ที่ระดับ 85 เหรียญสหรัฐ/ตัน เชื่อว่าจะมีเหมืองถ่านหินหลายรายทั้งในออสเตรเลียและอินโดนีเซียทยอยปิดตัวลง เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงทำให้ซัปพลายในตลาดโลกลดลงไป มีผลทำให้ราคาถ่านหินปรับตัวขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งบริษัทฯ จะประคองตัวและแสวงหาโอกาสในช่วงที่ราคาถ่านหินต่ำลงนี้ โดยปีนี้บริษัทจะลดต้นทุนการผลิตถ่านหินจากเหมืองในอินโดนีเซียให้มากกว่า 10% ส่วนเหมืองที่ออสเตรเลียคาดว่าจะลดต้นทุนได้ 6% ขณะเดียวกันก็มองหาโอกาสในการเข้าไปซื้อเหมืองถ่านหินใกล้กับเหมืองเดิมของบริษัทฯ ซึ่งขณะนี้เหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียหลายแห่งก็เริ่มขายกิจการ
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีงบที่ใช้ซื้อกิจการไว้อยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็มองหาโอกาสการขยายธุรกิจไฟฟ้าเพิ่ม เมื่อโครงการโรงไฟฟ้าหงสา เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 4/2558 สัดส่วนกำไรเพิ่มเป็น 30% จากปัจุบันต่ำกว่า 20%
“ช่วงต้นปีนี้ราคาถ่านหินอยู่ที่ 95 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการกำหนดราคาขายถ่านหินแล้ว 50% ของกำลังผลิตที่เหมืองอินโดนีเซีย 29 ล้านตัน แต่ราคาถ่านหินในช่วง มี.ค.ได้อ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 87-88 เหรียญสหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าที่บริษัทฯคาดการณ์เอาไว้ ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยกดให้ราคาถ่านหินอ่อนตัวลง”
นายชนินท์กล่าวต่อไปว่า แม้ธุรกิจถ่านหินซึ่งเป็นธุรกิจหลักในปีนี้จะได้รับผลกะทบจากราคาถ่านหินปรับตัวลง แต่บริษัทจะพยายามรักษากระแสเงินสด คาดว่าปีนี้จะมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) ใกล้เคียงปีก่อนที่ 900 ล้านเหรียญสหรัฐ
“บริษัทฯ ใช้กลยุทธ์จากทรัพย์สินที่มีอยู่เพื่อพยายามสร้างกระแสเงินสดให้มากที่สุด ไม่ให้ลดต่ำจากปี 2555 ที่มี EBITDA อยู่ที่ 900 ล้านเหรียญสหรัฐ” นายชนินท์กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อให้สอดคล้องกับรายได้เป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐคิดเป็น 70% ของรายได้รวม โดยจะแปลงหนี้สกุลบาทเป็นหนี้สกุลดอลลาร์สหรัฐให้อยู่ในระดับใกล้เคียง 70-80% ของหนี้รวม จากปัจจุบันสัดส่วนหนี้สกุลดอลลาร์อยู่ที่ 60% ของหนี้รวม และยืดเวลาการชำระหนี้ออกจากเดิม 6 ปีเศษเป็น 7 ปีเศษ ซึ่งค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น บริษัทได้รับผลกระทบไม่มากนัก