บ้านปูฯ ไตรมาส 3 กำไรวูบเหลือ 2,262 ล้านบาท หรือลดลงเกือบ 48% จากปี 54 ที่ทำได้ 4,208 ล้านบาท ผลจากราคาขายถ่านหินในตลาดโลกตก แม้กำไรขั้นต้นทรงตัว ย้ำยังคงนโยบายลดต้นทุนการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งผลดีต่อการดำเนินงาน เผยเดินหน้ายื่นอุทธรณ์กรณีคดีโรงไฟฟ้าหงสา
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาว่า มีกำไรสุทธิ 2,262 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปี 54 ที่มีกำไรสุทธิ 4,208 ล้านบาท หรือลดลง 2,014 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 47.86% ผลจากราคาขายที่ลดลงตามราคาถ่านหินในตลาดโลก แต่ยังคงรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นต่อยอดขายรวมของธุรกิจถ่านหินได้ในระดับที่ดีจากแผนการลดต้นทุน และค่าใช้จ่ายที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ต้นไตรมาส 3
สำหรับราคาถ่านหินที่อ่อนตัวลงมาจากปริมาณถ่านหินส่วนเกินในตลาด อันเป็นผลจากปริมาณการผลิตที่ออกมามากขึ้น แม้ว่าความต้องการใช้ถ่านหินยังเติบโตอยู่ในระดับที่ดี
“ราคาถ่านหินที่ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมานั้น เพราะมีการผลิตถ่านหินออกมามาก จึงทำให้เกิดสภาวะถ่านหินส่วนเกินในตลาดแม้ว่าความต้องการใช้ถ่านหินโดยรวมในปีนี้ยังคงเติบโตอยู่ในระดับที่ดีประมาณ 7 % เพราะกลุ่มประเทศผู้ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลัก เช่น จีน อินเดีย และญี่ปุ่น ยังมีความต้องการใช้ถ่านหินในปริมาณที่สูง และจะยังคงเติบโตได้อีก ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อราคาถ่านหินในอนาคต” นายชนินท์กล่าว
นายชนินท์ กล่าวว่า จากภาวะราคาถ่านหินที่อ่อนตัวลง บริษัทฯ ได้ปรับตัวและดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อรับสถานการณ์ ทั้งการลดต้นทุนการผลิต การเลื่อน หรือยกเลิกการลงทุนในโครงการที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน รวมทั้งการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั่วทั้งองค์กร ซึ่งเห็นผลในไตรมาส 3 นี้
“มาตรการลดต้นทุนการผลิต ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง 7% จากไตรมาสก่อนหน้า และช่วยให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นค่อนข้างทรงตัว ซึ่้งจะยังคงเน้นมาตรการลดต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง” นายชนินท์กล่าวย้ำ
ส่วนผลการดำเนินงานของธุรกิจไฟฟ้านั้น โรงไฟฟ้าบีแอลซีพีสามารถดำเนินการผลิต และขายไฟฟ้าได้อย่างราบรื่น และบันทึกส่วนแบ่งกำไร 899 ล้านบาท ซึ่งรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 129 ล้านบาท ธุรกิจไฟฟ้าในสาธารณรัฐประชาชนจีนมีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท ขณะการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าหงสาในประเทศลาวคืบหน้าไปแล้ว 30% ซึ่งเร็วกว่าแผนงานที่ตั้งไว้ และไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีคดีฟ้องร้องที่เกิดขึ้นทั้งในส่วนของเงินกู้ และการดำเนินโครงการ ซึ่งระยะเวลาที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารได้ปรึกษาทนายความ และที่ปรึกษากฎหมายเตรียมการยื่นอุทธรณ์ซึ่งเห็นว่ามีประเด็นทั้งที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายหลายประการที่บริษัทฯ จะหยิบยกขึ้นเพื่อให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาว่า มีกำไรสุทธิ 2,262 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปี 54 ที่มีกำไรสุทธิ 4,208 ล้านบาท หรือลดลง 2,014 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 47.86% ผลจากราคาขายที่ลดลงตามราคาถ่านหินในตลาดโลก แต่ยังคงรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นต่อยอดขายรวมของธุรกิจถ่านหินได้ในระดับที่ดีจากแผนการลดต้นทุน และค่าใช้จ่ายที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ต้นไตรมาส 3
สำหรับราคาถ่านหินที่อ่อนตัวลงมาจากปริมาณถ่านหินส่วนเกินในตลาด อันเป็นผลจากปริมาณการผลิตที่ออกมามากขึ้น แม้ว่าความต้องการใช้ถ่านหินยังเติบโตอยู่ในระดับที่ดี
“ราคาถ่านหินที่ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมานั้น เพราะมีการผลิตถ่านหินออกมามาก จึงทำให้เกิดสภาวะถ่านหินส่วนเกินในตลาดแม้ว่าความต้องการใช้ถ่านหินโดยรวมในปีนี้ยังคงเติบโตอยู่ในระดับที่ดีประมาณ 7 % เพราะกลุ่มประเทศผู้ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลัก เช่น จีน อินเดีย และญี่ปุ่น ยังมีความต้องการใช้ถ่านหินในปริมาณที่สูง และจะยังคงเติบโตได้อีก ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อราคาถ่านหินในอนาคต” นายชนินท์กล่าว
นายชนินท์ กล่าวว่า จากภาวะราคาถ่านหินที่อ่อนตัวลง บริษัทฯ ได้ปรับตัวและดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อรับสถานการณ์ ทั้งการลดต้นทุนการผลิต การเลื่อน หรือยกเลิกการลงทุนในโครงการที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน รวมทั้งการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั่วทั้งองค์กร ซึ่งเห็นผลในไตรมาส 3 นี้
“มาตรการลดต้นทุนการผลิต ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง 7% จากไตรมาสก่อนหน้า และช่วยให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นค่อนข้างทรงตัว ซึ่้งจะยังคงเน้นมาตรการลดต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง” นายชนินท์กล่าวย้ำ
ส่วนผลการดำเนินงานของธุรกิจไฟฟ้านั้น โรงไฟฟ้าบีแอลซีพีสามารถดำเนินการผลิต และขายไฟฟ้าได้อย่างราบรื่น และบันทึกส่วนแบ่งกำไร 899 ล้านบาท ซึ่งรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 129 ล้านบาท ธุรกิจไฟฟ้าในสาธารณรัฐประชาชนจีนมีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท ขณะการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าหงสาในประเทศลาวคืบหน้าไปแล้ว 30% ซึ่งเร็วกว่าแผนงานที่ตั้งไว้ และไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีคดีฟ้องร้องที่เกิดขึ้นทั้งในส่วนของเงินกู้ และการดำเนินโครงการ ซึ่งระยะเวลาที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารได้ปรึกษาทนายความ และที่ปรึกษากฎหมายเตรียมการยื่นอุทธรณ์ซึ่งเห็นว่ามีประเด็นทั้งที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายหลายประการที่บริษัทฯ จะหยิบยกขึ้นเพื่อให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา