ASTVผู้จัดการรายวัน - แพรนด้า จิวเวลรี่ ตั้งเป้ายอดขายและกำไรปีนี้โตขึ้น 5% หลังเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น และบริษัทหันมาเน้นขายสินค้าแบรนด์ตัวเองมากขึ้น ยอมรับบาทแข็งค่าทุก 1%กำไรหด 2 ล้านบาท คาดไตรมาส 1 นี้ กำไรลดจากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน
นางสุนันทา เตียสุวรรณ์ ประธานบริหารการเงินกลุ่มบริษัท บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน)(PRANDA) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายและกำไรสุทธิ เติบโตขึ้น 5%จากปีก่อนที่ยอดขายรวม 4,177 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 449 ล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯดีขึ้น และราคาทองคำได้อ่อนตัวลงมา ทำให้มีคำสั่งซื้อเครื่องประดับทองเข้ามาเพิ่มมากขึ้น แม้ว่ามาร์จินเครื่องประดับทองคำจะต่ำกว่าเครื่องประดับเงินก็ตาม ขณะเดียวกันก็จะลดต้นทุนการผลิตเพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 33.9%
นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากสินค้าแบรนด์ตนเอง (OBM) มากขึ้นเป็น 50% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ 30% โดยจะขยายจุดจำหน่ายสินค้า OBM ผ่านการค้าส่งให้กับร้านค้าปลีกรานยย่อยและร้านค้าปลีกเครือข่าย โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตสินค้า OBM จากในตลาดกลุ่มประเทศยุโรปเพิ่มขึ้นกว่า 100% ใน 3 ปีข้างหน้า และขยายตลาดใหม่อย่างต่อเนื่องไปยังตะวันออกกลาง และเอเชียด้วย
รวมทั้งการเข้าสู่ธุรกิจ E-Commerce เพื่อรองรับเทรนด์ใหม่ในอนาคต โดยตลาดยุโรปหันมาซื้อเครื่องประดับผ่านออนไลน์กันมากขึ้น โดยเริ่มเข้าสู่ตลาดออนไลน์ในอังกฤษ ก่อนจะขยายไปยังเยอรมนี และสหรัฐฯ ในอนาคต ส่วนไทยยังไม่ค่อยนิยม แต่เชื่อว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้า การซื้อเครื่องประดับของไทยจะหันมาซื้อขายผ่านออนไลน์มากขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีความพร้อมในธุรกิจนี้อยู่แล้ว โดยยอมรับว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนี้ยังต่ำมาก
“ยอดขายของบริษัทในเครือก็เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะในไทย แต่ในต่างประเทศโดยเฉพาะยุโรปยังมีความกังวลวิกฤตการเงินอยู่ ทำให้ยอดขาย 2 เดือนแรกปีนี้ตกลงเล็กน้อย แต่ตลาดในสหรัฐฯ มีการเติบโต ส่วนจีนนั้นบริษัทฯ ไม่มีแผนขยายมากกว่านี้ แต่จะเน้นการขยายในกลุ่ม AEC โดยเฉพาะอินโดนีเซีย เวียดนาม เนื่องจากการแข่งขันไม่รุนแรงมากนัก และมีวัฒนธรรมใกล้เคียงไทย โดยจะเพิ่มจุดขายจาก 150 เป็น 250 จุดจำหน่ายในปี 2558”
นางสุนันทากล่าวถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นว่า แนวโน้มค่าเงินบาทน่าจะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากสภาพคล่องเข้ามาสู่ตลาดไทยมาก ทำให้ผู้ส่งออกวิตกกังวลการแข็งค่าที่รวดเร็ว ซึ่งรัฐควรเข้ามารักษาเสถียรภาพมากกว่านี้ โดยค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นทุก 1% จะกระทบกำไรของบริษัทฯจะลดลงไป 2 ล้านบาท ซึ่งการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เป็นการขาดทุนทางบัญชี ไม่ได้เกิดขึ้นจริง โดยไตรมาสแรกปีนี้ กำไรของบริษัทฯ อาจลดลง เนื่องจากผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
สำหรับเงินลงทุนในปีนี้ตั้งงบไว้ที่ 430 ล้านบาท โดยใช้ในการขยายตลาดอินเดีย อินโดนีเซีย 150 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรใหม่ 80 ล้านบาท และอีก 200 ล้านบาทใช้สร้างอาคารใหม่ โดยได้เงินกู้จากแบงก์แล้ว โดยอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.7 เท่า