รัฐบาลไซปรัสรีบเร่งหามาตรการเพื่อลดทอนผลกระทบที่ผู้ออมเงินรายย่อยจะได้รับจากการเก็บภาษีเงินฝากธนาคาร หลังจากรัฐสภาไซปรัสเลื่อนกำหนดการลงคะแนนเสียงต่อมาตรการภาษีดังกล่าวออกไปเป็นวันนี้ โดย
การเก็บภาษีนี้ ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินจากสหภาพยุโรป (อียู)
มาตรการให้ความช่วยเหลือไซปรัสมีความแตกต่างเป็นอย่างมากจากมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศอื่นๆในยูโรโซนในช่วงก่อนหน้านี้ เพราะรัฐมนตรีคลังยูโรโซนต้องการให้ผู้ออมเงินในไซปรัส
สละเงินฝากบางส่วนเพื่อแลกกับมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินวงเงิน 1 หมื่นล้านยูโร (1.3 หมื่นล้านดอลลาร์) หลังจากไซปรัสได้รับความเสียหายทางการเงินจากการที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านของกรีซ
การตัดสินของรัฐมนตรีคลังยูโรโซนในครั้งนี้มีการประกาศออกมาในช่วงเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา และสร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวไซปรัสเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ชาวไซปรัสจำนวนมากได้แห่กันไปถอนเงินออกจากตู้เอทีเอ็ม จนทำให้เงินในตู้เอทีเอ็มส่วนใหญ่หมดลงภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง และส่งผลให้มีการยุติการโอนเงินทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ในเวลาต่อมา
ในข้อเสนอขั้นแรกของยูโรโซนนั้น จะมีการเก็บภาษีเงินฝากในอัตรา 9.9 % สำหรับเงินฝากที่สูงกว่า 100,000 ยูโร และในอัตรา 6.7 % สำหรับเงินฝากที่ต่ำกว่าระดับดังกล่าว
แหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์จะออกนามกล่าวว่า รัฐบาลไซปรัสได้หารือกับกลุ่มผู้ปล่อยกู้เมื่อวานนี้ถึงความเป็นไปได้ที่จะปรับเปลี่ยนอัตราภาษีดังกล่าวลงสู่ 3.0 % สำหรับเงินฝากที่ต่ำกว่า 100,000ยูโร และปรับขึ้นสู่ 12.5 % สำหรับเงินฝากที่สูงกว่า 100,000ยูโร
แหล่งข่าวกล่าวว่า การหารือในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม "ทรอยกา" หรือกลุ่มผู้ปล่อยกู้ที่ประกอบด้วยคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี), กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี)
โฆษกของนายโอลลี เรห์น ซึ่งเป็นกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจของยุโรปกล่าวว่า การหารือยังคงดำเนินต่อไปในไซปรัส
โฆษกกล่าวว่า "ถ้าหากผู้นำไซปรัสสามารถตกลงกันได้ในการใช้อัตราภาษีที่ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นสำหรับการเก็บภาษีครั้งเดียว โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความเป็นธรรมให้แก่ผู้ออมเงินรายย่อย และมีข้อแม้ว่าการทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบทางการเงินในขนาดเดียวกันคณะกรรมาธิการยูโรปก็พร้อมที่จะแนะนำให้ยูโรกรุ๊ป (กลุ่มรัฐมนตรีคลังยูโรโซน) สนับสนุนข้อตกลงดังกล่าว"
การเก็บภาษีเงินฝากในครั้งนี้อาจส่งผลให้มีการระดมเงินได้เกือบ 6 พันล้านยูโร ขณะที่รัฐสภาไซปรัสจำเป็นต้องให้สัตยาบันต่อมาตรการเก็บภาษีนี้ แต่ไม่มีพรรคการเมืองใดครองเสียงข้างมากในรัฐสภาไซปรัส
ประธานาธิบดีนิคอส อนาสตาเซียเดสของไซปรัส กล่าวเตือนว่า ถ้าหากรัฐสภาไซปรัสไม่สามารถให้สัตยาบันต่อมาตรการดังกล่าว ธนาคารขนาดใหญ่ที่สุด 2 แห่งของไซปรัสก็จะล้มละลาย
หนึ่งในธนาคารจำนวน 2 แห่งนี้คือธนาคารไซปรัส ปอปูลาร์แบงก์ โดยธนาคารแห่งนี้อาจถูกตัดออกจากมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องฉุกเฉิน (ELA) ของอีซีบีภายในวันที่ 21 มี.ค.
การผิดนัดชำระหนี้ในไซปรัสจะสร้างความเสียหายต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในยูโรโซน และทำลายความคืบหน้าที่อีซีีบีได้ทำไว้ในปีที่แล้ว หลังจากอีซีบีให้สัญญาว่าจะทำสิ่งใดก็ตามที่จำเป็นต้องทำเพื่อพยุงยูโรโซน
แหล่งข่าวกล่าวว่า รัฐสภาไซปรัสเลื่อนกำหนดการประชุมจากเมื่อวานนี้มาเป็นวันนี้ เพื่อที่จะได้มีเวลามากยิ่งขึ้นในการปรึกษาหารือและบรรลุข้อตกลง โดยภาษีนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ หลังจากธนาคารในไซปรัสปิดทำการในวันนี้เนื่องในวันหยุดธนาคาร
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak
การเก็บภาษีนี้ ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินจากสหภาพยุโรป (อียู)
มาตรการให้ความช่วยเหลือไซปรัสมีความแตกต่างเป็นอย่างมากจากมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศอื่นๆในยูโรโซนในช่วงก่อนหน้านี้ เพราะรัฐมนตรีคลังยูโรโซนต้องการให้ผู้ออมเงินในไซปรัส
สละเงินฝากบางส่วนเพื่อแลกกับมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินวงเงิน 1 หมื่นล้านยูโร (1.3 หมื่นล้านดอลลาร์) หลังจากไซปรัสได้รับความเสียหายทางการเงินจากการที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านของกรีซ
การตัดสินของรัฐมนตรีคลังยูโรโซนในครั้งนี้มีการประกาศออกมาในช่วงเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา และสร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวไซปรัสเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ชาวไซปรัสจำนวนมากได้แห่กันไปถอนเงินออกจากตู้เอทีเอ็ม จนทำให้เงินในตู้เอทีเอ็มส่วนใหญ่หมดลงภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง และส่งผลให้มีการยุติการโอนเงินทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ในเวลาต่อมา
ในข้อเสนอขั้นแรกของยูโรโซนนั้น จะมีการเก็บภาษีเงินฝากในอัตรา 9.9 % สำหรับเงินฝากที่สูงกว่า 100,000 ยูโร และในอัตรา 6.7 % สำหรับเงินฝากที่ต่ำกว่าระดับดังกล่าว
แหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์จะออกนามกล่าวว่า รัฐบาลไซปรัสได้หารือกับกลุ่มผู้ปล่อยกู้เมื่อวานนี้ถึงความเป็นไปได้ที่จะปรับเปลี่ยนอัตราภาษีดังกล่าวลงสู่ 3.0 % สำหรับเงินฝากที่ต่ำกว่า 100,000ยูโร และปรับขึ้นสู่ 12.5 % สำหรับเงินฝากที่สูงกว่า 100,000ยูโร
แหล่งข่าวกล่าวว่า การหารือในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม "ทรอยกา" หรือกลุ่มผู้ปล่อยกู้ที่ประกอบด้วยคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี), กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี)
โฆษกของนายโอลลี เรห์น ซึ่งเป็นกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจของยุโรปกล่าวว่า การหารือยังคงดำเนินต่อไปในไซปรัส
โฆษกกล่าวว่า "ถ้าหากผู้นำไซปรัสสามารถตกลงกันได้ในการใช้อัตราภาษีที่ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นสำหรับการเก็บภาษีครั้งเดียว โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความเป็นธรรมให้แก่ผู้ออมเงินรายย่อย และมีข้อแม้ว่าการทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบทางการเงินในขนาดเดียวกันคณะกรรมาธิการยูโรปก็พร้อมที่จะแนะนำให้ยูโรกรุ๊ป (กลุ่มรัฐมนตรีคลังยูโรโซน) สนับสนุนข้อตกลงดังกล่าว"
การเก็บภาษีเงินฝากในครั้งนี้อาจส่งผลให้มีการระดมเงินได้เกือบ 6 พันล้านยูโร ขณะที่รัฐสภาไซปรัสจำเป็นต้องให้สัตยาบันต่อมาตรการเก็บภาษีนี้ แต่ไม่มีพรรคการเมืองใดครองเสียงข้างมากในรัฐสภาไซปรัส
ประธานาธิบดีนิคอส อนาสตาเซียเดสของไซปรัส กล่าวเตือนว่า ถ้าหากรัฐสภาไซปรัสไม่สามารถให้สัตยาบันต่อมาตรการดังกล่าว ธนาคารขนาดใหญ่ที่สุด 2 แห่งของไซปรัสก็จะล้มละลาย
หนึ่งในธนาคารจำนวน 2 แห่งนี้คือธนาคารไซปรัส ปอปูลาร์แบงก์ โดยธนาคารแห่งนี้อาจถูกตัดออกจากมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องฉุกเฉิน (ELA) ของอีซีบีภายในวันที่ 21 มี.ค.
การผิดนัดชำระหนี้ในไซปรัสจะสร้างความเสียหายต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในยูโรโซน และทำลายความคืบหน้าที่อีซีีบีได้ทำไว้ในปีที่แล้ว หลังจากอีซีบีให้สัญญาว่าจะทำสิ่งใดก็ตามที่จำเป็นต้องทำเพื่อพยุงยูโรโซน
แหล่งข่าวกล่าวว่า รัฐสภาไซปรัสเลื่อนกำหนดการประชุมจากเมื่อวานนี้มาเป็นวันนี้ เพื่อที่จะได้มีเวลามากยิ่งขึ้นในการปรึกษาหารือและบรรลุข้อตกลง โดยภาษีนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ หลังจากธนาคารในไซปรัสปิดทำการในวันนี้เนื่องในวันหยุดธนาคาร
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak
