คณะกรรมการการค้าสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ (CFTC) ของสหรัฐรายงานว่า มูลค่าการถือครองสถานะซื้อสุทธิในสินค้าโภคภัณฑ์ของกองทุนเฮดจ์ฟันด์และนักเก็งกำไรรายใหญ่ในสหรัฐ ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 15 เดือนหลังจากปริมาณการลงทุนในน้ำมัน heating oil, ทอง และวัตถุดิบอื่นๆอีกหลาย
ประเภทดิ่งลงอย่างรุนแรงในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันอังคารที่ 5 มี.ค.
ผู้จัดการกองทุนในสหรัฐถือครองสถานะซื้อสุทธิในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ 22 ประเภทเป็นมูลค่าราว 5.43 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันที่ 5 มี.ค. โดยปรับลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้านั้น และถือเป็นการปรับตัวลง 4 สัปดาห์ติดต่อกันขณะที่มูลค่าการถือครองร่วงลงจาก 8.75 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันที่ 5 ก.พ.
ตัวเลขข้างต้นเป็นตัวเลขที่รอยเตอร์คำนวณมาจากรายงานของ CFTC โดย CFTC จัดทำรายงานสถานะการลงทุนของเทรดเดอร์ในวันอังคารของแต่ละสัปดาห์ และเปิดเผยรายงานดังกล่าวออกมาในวันศุกร์
มูลค่าการถือครองสถานะซื้อสุทธิในสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐที่ 5.43หมื่นล้านดอลลาร์นี้ ถือเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 ธ.ค. 2011
นักลงทุนระบายสถานะซื้อในสินค้าโภคภัณฑ์หลายประเภท และเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนีตลาดหุ้นโลกได้พุ่งขึ้นในวันศุกร์จนแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2008
นายโอเล แฮนเสน หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์การลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์ของธนาคารแซกโซ กล่าวว่า "เงินลงทุนที่หามาได้ง่ายกำลังไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในขณะที่ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ไม่ได้รับแรงหนุนใดๆ"
มูลค่าการถือครองสถานะซื้อสุทธิในน้ำมัน heating oil ของสหรัฐร่วงลง 3.34 พันล้านดอลลาร์ สู่ระดับราว 2.16 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 มี.ค. ในขณะที่ปริมาณการถือครองสถานะซื้อสุทธิลดลง 26,734สัญญาในช่วงสัปดาห์ดังกล่าว ทางด้านสัญญาคงค้างในน้ำมัน heating oil ที่ผู้จัดการกองทุนถือครองอยู่ลดลง 2.7 % ในสัปดาห์นั้น
ราคาน้ำมัน heating oil ดิ่งลง ในขณะที่ฤดูหนาวในสหรัฐเข้าสู่ช่วงสัปดาห์สุดท้าย ถึงแม้ว่าอากาศในช่วงนี้ของปีอยู่ในภาวะหนาวเย็นกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อน
ราคาสัญญาน้ำมัน heating oil ในตลาด NYMEX ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนที่ 2.9425 ดอลลาร์ต่อแกลลอนในวันที่ 4 มี.ค.
ผู้จัดการกองทุนถือครองสถานะซื้อสุทธิในสัญญาล่วงหน้าทองของสหรัฐเป็นมูลค่า 6.24 พันล้านดอลลาร์ โดยดิ่งลง 2.3 พันล้านดอลลาร์จากสัปดาห์ก่อน ในขณะที่ปริมาณสัญญาซื้อสุทธิที่ถือครองอยู่ลดลง 7,713 สัญญา ส่วนปริมาณการถือครองสัญญาคงค้างลดลง 2.4 %
ราคาทองได้รับแรงกดดันในระยะนี้ หลังจากราคาสัญญาทองเดือนเม.ย.ในตลาด COMEX ของนิวยอร์คดิ่งลงสู่ระดับต่ำกว่า 1,555 ดอลลาร์/ออนซ์ในวันที่ 21 ก.พ. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ เดือนพ.ค. 2012
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สดใสกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงเช่น หุ้นในช่วงนี้ และลดการลงทุนในทอง
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองที่ใหญ่ที่สุดในโลกปรับลดปริมาณการถือครองทองลง 2 ตัน สู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 16 เดือนในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
โกลด์แมน-เจพีมอร์แกน-มอร์แกน สแตนเลย์เผยรายได้โภคภัณฑ์ทรุดฮวบปีที่แล้ว รายได้จากการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดวอลล์สตรีทร่วงลงในปีที่ผ่านมาสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่กฏระเบียบที่เข้มงวดขึ้นและการแกว่งตัวของราคาที่ถูกจำกัดนั้น เป็นปัจจัยส่งผลกระทบต่อเทรดเดอร์ชั้นนำอย่างโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ปอิงค์, เจพีมอร์แกน เชส แอน์ โค และมอร์แกน สแตนเลย์
ทั้ง 3 ธนาคารรายงานรายได้ที่ลดลงเป็นตัวเลข 2 หลักในการซื้อขายน้ำมัน, ธัญพืชและทองแดงในปี 2012 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะตลาดที่ซบเซาและข้อจำกัดในการซื้อขาย
รายงานประจำปีบ่งชี้ว่า รายได้ของโกลด์แมน แซคส์ลดลงมากที่สุดโดยดิ่งลงมากกว่า 60% เมื่อเทียบเป็นรายปีในปี 2012 สู่ระดับเพียง 575ล้านดอลลาร์
รายได้ของโกลด์แมน แซคส์ทรุดตัวลงเกือบ 90% นับตั้งแต่ปี 2009ซึ่งมีรายได้รวมมากกว่า 4.5 พันล้านดอลลาร์ โดยโกลด์แมน แซคส์เป็นบริษัทชั้นนำที่ทำการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดวอลล์สตรีท โดยมีความเชี่ยวชาญทั้งการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดปัจจุบันและตลาดการเงิน
มอร์แกน สแตนเลย์ซึ่งดำเนินธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ 30 ปีมาแล้วนั้นรายงานว่ารายได้จากสินค้าโภคภัณฑ์ร่วงลง 20% ในปี 2012
เจพีมอร์แกนซึ่งขยายธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ผ่านการควบรวมกิจการนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินปี 2008 และขณะนี้แซงหน้าโกลด์แมนและมอร์แกนสแตนเลย์นั้น มีรายได้ลดลง 16% สู่ 2.4 แสนล้านดอลลาร์
การเปิดเผยผลประกอบการล่าสุดทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับกลยุทธ์ในอนาคตของธนาคารต่างๆในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งมีมูลค่ามากถึง 1.4หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปีในตลาดวอลล์สตรีท
การเฟื่องฟูของตลาดทรัพยากรซึ่งเริ่มขึ้น 10 ปีที่แล้วซึ่งนำโดยโกลด์แมนและมอร์แกน สแตนลีย์นั้นได้ดึงดูดธนาคารขนาดใหญ่จำนวนมากเข้าทำการซื้อขายน้ำมัน, โลหะและสินค้าเกษตร แต่ธนาคารจำนวนมาก
เผชิญความยากลำบากนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงิน
กฏวอค์เกอร์ได้จำกัดสถานะการซื้อขายของของธนาคารอันเป็นส่วนหนึ่งของกฏหมาย ดอดด์-แฟรงค์ โดยความผันผวนของตลาดที่ลดลงได้ลดกิจกรรมการซื้อขายของลูกค้าและกิจกรรมประกันความเสี่ยง
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 112 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2012 แต่สูงกว่าราคาเฉลี่ยของปีก่อนอยู่เพียง1 ดอลลาร์
รายได้ของธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ของมอร์แกน สแตนเลย์แตะระดับสูงสุดที่ราว 3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2008 และนับตั้งแต่นั้นมารายได้ลดลงมาอยู่สูงกว่า1 พันล้านดอลลาร์เพียงเล็กน้อยในปีที่ผ่านมา
ในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา โกลด์แมน แซคส์ปฏิเสธว่า บริษัทได้ทำการพิจารณาอย่างจริงจังในการแยกธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ หลังรายงานข่าวระบุว่า โกลด์แมนได้ทำการหารือเป็นการภายในเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการแยกธุรกิจดังกล่าว
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak.
ประเภทดิ่งลงอย่างรุนแรงในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันอังคารที่ 5 มี.ค.
ผู้จัดการกองทุนในสหรัฐถือครองสถานะซื้อสุทธิในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ 22 ประเภทเป็นมูลค่าราว 5.43 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันที่ 5 มี.ค. โดยปรับลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้านั้น และถือเป็นการปรับตัวลง 4 สัปดาห์ติดต่อกันขณะที่มูลค่าการถือครองร่วงลงจาก 8.75 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันที่ 5 ก.พ.
ตัวเลขข้างต้นเป็นตัวเลขที่รอยเตอร์คำนวณมาจากรายงานของ CFTC โดย CFTC จัดทำรายงานสถานะการลงทุนของเทรดเดอร์ในวันอังคารของแต่ละสัปดาห์ และเปิดเผยรายงานดังกล่าวออกมาในวันศุกร์
มูลค่าการถือครองสถานะซื้อสุทธิในสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐที่ 5.43หมื่นล้านดอลลาร์นี้ ถือเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 ธ.ค. 2011
นักลงทุนระบายสถานะซื้อในสินค้าโภคภัณฑ์หลายประเภท และเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนีตลาดหุ้นโลกได้พุ่งขึ้นในวันศุกร์จนแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2008
นายโอเล แฮนเสน หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์การลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์ของธนาคารแซกโซ กล่าวว่า "เงินลงทุนที่หามาได้ง่ายกำลังไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในขณะที่ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ไม่ได้รับแรงหนุนใดๆ"
มูลค่าการถือครองสถานะซื้อสุทธิในน้ำมัน heating oil ของสหรัฐร่วงลง 3.34 พันล้านดอลลาร์ สู่ระดับราว 2.16 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 มี.ค. ในขณะที่ปริมาณการถือครองสถานะซื้อสุทธิลดลง 26,734สัญญาในช่วงสัปดาห์ดังกล่าว ทางด้านสัญญาคงค้างในน้ำมัน heating oil ที่ผู้จัดการกองทุนถือครองอยู่ลดลง 2.7 % ในสัปดาห์นั้น
ราคาน้ำมัน heating oil ดิ่งลง ในขณะที่ฤดูหนาวในสหรัฐเข้าสู่ช่วงสัปดาห์สุดท้าย ถึงแม้ว่าอากาศในช่วงนี้ของปีอยู่ในภาวะหนาวเย็นกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อน
ราคาสัญญาน้ำมัน heating oil ในตลาด NYMEX ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนที่ 2.9425 ดอลลาร์ต่อแกลลอนในวันที่ 4 มี.ค.
ผู้จัดการกองทุนถือครองสถานะซื้อสุทธิในสัญญาล่วงหน้าทองของสหรัฐเป็นมูลค่า 6.24 พันล้านดอลลาร์ โดยดิ่งลง 2.3 พันล้านดอลลาร์จากสัปดาห์ก่อน ในขณะที่ปริมาณสัญญาซื้อสุทธิที่ถือครองอยู่ลดลง 7,713 สัญญา ส่วนปริมาณการถือครองสัญญาคงค้างลดลง 2.4 %
ราคาทองได้รับแรงกดดันในระยะนี้ หลังจากราคาสัญญาทองเดือนเม.ย.ในตลาด COMEX ของนิวยอร์คดิ่งลงสู่ระดับต่ำกว่า 1,555 ดอลลาร์/ออนซ์ในวันที่ 21 ก.พ. ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ เดือนพ.ค. 2012
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สดใสกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงเช่น หุ้นในช่วงนี้ และลดการลงทุนในทอง
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองที่ใหญ่ที่สุดในโลกปรับลดปริมาณการถือครองทองลง 2 ตัน สู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 16 เดือนในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
โกลด์แมน-เจพีมอร์แกน-มอร์แกน สแตนเลย์เผยรายได้โภคภัณฑ์ทรุดฮวบปีที่แล้ว รายได้จากการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดวอลล์สตรีทร่วงลงในปีที่ผ่านมาสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่กฏระเบียบที่เข้มงวดขึ้นและการแกว่งตัวของราคาที่ถูกจำกัดนั้น เป็นปัจจัยส่งผลกระทบต่อเทรดเดอร์ชั้นนำอย่างโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ปอิงค์, เจพีมอร์แกน เชส แอน์ โค และมอร์แกน สแตนเลย์
ทั้ง 3 ธนาคารรายงานรายได้ที่ลดลงเป็นตัวเลข 2 หลักในการซื้อขายน้ำมัน, ธัญพืชและทองแดงในปี 2012 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะตลาดที่ซบเซาและข้อจำกัดในการซื้อขาย
รายงานประจำปีบ่งชี้ว่า รายได้ของโกลด์แมน แซคส์ลดลงมากที่สุดโดยดิ่งลงมากกว่า 60% เมื่อเทียบเป็นรายปีในปี 2012 สู่ระดับเพียง 575ล้านดอลลาร์
รายได้ของโกลด์แมน แซคส์ทรุดตัวลงเกือบ 90% นับตั้งแต่ปี 2009ซึ่งมีรายได้รวมมากกว่า 4.5 พันล้านดอลลาร์ โดยโกลด์แมน แซคส์เป็นบริษัทชั้นนำที่ทำการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดวอลล์สตรีท โดยมีความเชี่ยวชาญทั้งการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดปัจจุบันและตลาดการเงิน
มอร์แกน สแตนเลย์ซึ่งดำเนินธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ 30 ปีมาแล้วนั้นรายงานว่ารายได้จากสินค้าโภคภัณฑ์ร่วงลง 20% ในปี 2012
เจพีมอร์แกนซึ่งขยายธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ผ่านการควบรวมกิจการนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินปี 2008 และขณะนี้แซงหน้าโกลด์แมนและมอร์แกนสแตนเลย์นั้น มีรายได้ลดลง 16% สู่ 2.4 แสนล้านดอลลาร์
การเปิดเผยผลประกอบการล่าสุดทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับกลยุทธ์ในอนาคตของธนาคารต่างๆในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งมีมูลค่ามากถึง 1.4หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปีในตลาดวอลล์สตรีท
การเฟื่องฟูของตลาดทรัพยากรซึ่งเริ่มขึ้น 10 ปีที่แล้วซึ่งนำโดยโกลด์แมนและมอร์แกน สแตนลีย์นั้นได้ดึงดูดธนาคารขนาดใหญ่จำนวนมากเข้าทำการซื้อขายน้ำมัน, โลหะและสินค้าเกษตร แต่ธนาคารจำนวนมาก
เผชิญความยากลำบากนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงิน
กฏวอค์เกอร์ได้จำกัดสถานะการซื้อขายของของธนาคารอันเป็นส่วนหนึ่งของกฏหมาย ดอดด์-แฟรงค์ โดยความผันผวนของตลาดที่ลดลงได้ลดกิจกรรมการซื้อขายของลูกค้าและกิจกรรมประกันความเสี่ยง
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 112 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2012 แต่สูงกว่าราคาเฉลี่ยของปีก่อนอยู่เพียง1 ดอลลาร์
รายได้ของธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ของมอร์แกน สแตนเลย์แตะระดับสูงสุดที่ราว 3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2008 และนับตั้งแต่นั้นมารายได้ลดลงมาอยู่สูงกว่า1 พันล้านดอลลาร์เพียงเล็กน้อยในปีที่ผ่านมา
ในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา โกลด์แมน แซคส์ปฏิเสธว่า บริษัทได้ทำการพิจารณาอย่างจริงจังในการแยกธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ หลังรายงานข่าวระบุว่า โกลด์แมนได้ทำการหารือเป็นการภายในเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการแยกธุรกิจดังกล่าว
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak.