ASTVผู้จัดการรายวัน - คลังเตรียมแผนออกแยงกี้บอนด์ วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท หวังสร้างอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในตลาดต่างประเทศ เปิดทางเอกชนกู้เงินได้ในต้นทุนที่ต่ำลง
นายสุวิชญ โรจนวานิช รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า แผนการกู้เงินภายใต้พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)บริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท สบน.ได้กู้ไปแล้ว 1 หมื่นล้านบาท จึงเหลือวงเงินอีก 3.4 แสนล้านบาทที่จะดำเนินการกู้เพิ่มเติมได้จนถึงกลางปีหน้า ตามที่กรอบกำหมายกำหนด ซึ่งกระทรวงการคลังได้มอบนโยบายสบน.กู้เป็นเงินตราต่างประเทศส่วนหนึ่ง ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ด้วยการออกพันธบัตรสกุลเงินตราต่างประเทศอายุ 3 ปี 5 ปี หรือ 7 ปีแล้ว แต่ความเหมาะสม เพื่อให้เป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงมาตรฐานของประเทศ
“ในอดีตเราเคยกู้เงินตราต่างประเทศ ด้วยการออกพันธบัตรขายที่ตลาดนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา หรือแยงกี้บอนด์ แต่ไม่ได้กู้มานานแล้ว ทำให้ไม่มีอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของประเทศ ทำให้ภาคเอกชนเองไม่มีตัวอ้างอิง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังเอง จึงต้องการให้รัฐบาลเป็นตัวนำให้กับเอกชนในการกู้เงินต่างประเทศ และยังเป็นการสร้างเครดิตให้กับประเทศ เพราะเมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยนั้นพบว่า ยังมีศักยภาพในการกู้เงิน โดยออกพันธบัตรในต่างประเทศได้อยู่ และคาดว่าจะกู้เงินจากตลาดนิวยอร์กเป็นตลาดหลัก เนื่องจากเป็นตลาดที่ต้องการสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ”นายสุวิชญกล่าว
นายสุวิชญกล่าวว่า สบน.เองต้องประเมินผลตอบแทนที่เหมาะสมก่อนว่า เมื่อมีการออกเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศเทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นต้นทุนแล้ว เมื่อรวมกับค่าธรรมเนียมในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน(สว๊อป)แล้ว ต้นทุนรวมจะต้องต่ำกว่าการการกู้ยืมในประเทศ ซึ่งก็ยังมีสภาพคล่องเหลือพอ เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะถูกโจมตีได้ แม้ว่าปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศอ้างอิงตลาดลอนดอน(ไลบอร์)จะต่ำมาก ไม่ถึง1% แต่ยังมีต้นทุนอื่นๆรวมด้วย อย่างอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับน่าลงทุน(BBB+) หากถูกปรับขึ้นไปอยู่ในระดับ A ก็จะทำให้อัตราดอกเบี้ยถูกลง และทำให้กู้ได้ง่ายขึ้น และจะเป็นประโยชน์กับประเทศได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับกรอบระยะเวลาการกู้เงินที่จะต้องดำเนินการภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2556 นายสุวิชญกล่าวว่า ในทางปฏิบัติน่าจะสามารถกู้เงินเพื่อใช้ได้จริงไม่เกิน 1 แสนล้านบาท เพราะกว่าที่โครงการจะเริ่มดำเนินการทำสัญญาผูกพันไว้ต้องใช้เวลานาน เพราะขณะนี้ยังไม่ได้ข้อยุติคัดเลือกบริษัทที่จะเข้ามาดำเนินการทั้งที่ผ่านมาหลายเดือนแล้ว หลังจากที่ได้ปรับวิธีการคัดเลือกบริษัทเอกชนที่เข้ามาประมูลโครงการจากหลายรายให้เหลือรายเดียว
นายสุวิชญ โรจนวานิช รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า แผนการกู้เงินภายใต้พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)บริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท สบน.ได้กู้ไปแล้ว 1 หมื่นล้านบาท จึงเหลือวงเงินอีก 3.4 แสนล้านบาทที่จะดำเนินการกู้เพิ่มเติมได้จนถึงกลางปีหน้า ตามที่กรอบกำหมายกำหนด ซึ่งกระทรวงการคลังได้มอบนโยบายสบน.กู้เป็นเงินตราต่างประเทศส่วนหนึ่ง ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ด้วยการออกพันธบัตรสกุลเงินตราต่างประเทศอายุ 3 ปี 5 ปี หรือ 7 ปีแล้ว แต่ความเหมาะสม เพื่อให้เป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงมาตรฐานของประเทศ
“ในอดีตเราเคยกู้เงินตราต่างประเทศ ด้วยการออกพันธบัตรขายที่ตลาดนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา หรือแยงกี้บอนด์ แต่ไม่ได้กู้มานานแล้ว ทำให้ไม่มีอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของประเทศ ทำให้ภาคเอกชนเองไม่มีตัวอ้างอิง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังเอง จึงต้องการให้รัฐบาลเป็นตัวนำให้กับเอกชนในการกู้เงินต่างประเทศ และยังเป็นการสร้างเครดิตให้กับประเทศ เพราะเมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยนั้นพบว่า ยังมีศักยภาพในการกู้เงิน โดยออกพันธบัตรในต่างประเทศได้อยู่ และคาดว่าจะกู้เงินจากตลาดนิวยอร์กเป็นตลาดหลัก เนื่องจากเป็นตลาดที่ต้องการสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ”นายสุวิชญกล่าว
นายสุวิชญกล่าวว่า สบน.เองต้องประเมินผลตอบแทนที่เหมาะสมก่อนว่า เมื่อมีการออกเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศเทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นต้นทุนแล้ว เมื่อรวมกับค่าธรรมเนียมในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน(สว๊อป)แล้ว ต้นทุนรวมจะต้องต่ำกว่าการการกู้ยืมในประเทศ ซึ่งก็ยังมีสภาพคล่องเหลือพอ เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะถูกโจมตีได้ แม้ว่าปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศอ้างอิงตลาดลอนดอน(ไลบอร์)จะต่ำมาก ไม่ถึง1% แต่ยังมีต้นทุนอื่นๆรวมด้วย อย่างอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับน่าลงทุน(BBB+) หากถูกปรับขึ้นไปอยู่ในระดับ A ก็จะทำให้อัตราดอกเบี้ยถูกลง และทำให้กู้ได้ง่ายขึ้น และจะเป็นประโยชน์กับประเทศได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับกรอบระยะเวลาการกู้เงินที่จะต้องดำเนินการภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2556 นายสุวิชญกล่าวว่า ในทางปฏิบัติน่าจะสามารถกู้เงินเพื่อใช้ได้จริงไม่เกิน 1 แสนล้านบาท เพราะกว่าที่โครงการจะเริ่มดำเนินการทำสัญญาผูกพันไว้ต้องใช้เวลานาน เพราะขณะนี้ยังไม่ได้ข้อยุติคัดเลือกบริษัทที่จะเข้ามาดำเนินการทั้งที่ผ่านมาหลายเดือนแล้ว หลังจากที่ได้ปรับวิธีการคัดเลือกบริษัทเอกชนที่เข้ามาประมูลโครงการจากหลายรายให้เหลือรายเดียว
