แถลงการณ์ของกลุ่มจี-20 ไม่ได้โจมตีญี่ปุ่น แต่ระบุว่า สมาชิกควรระงับการแข่งขันกันปรับลดค่าเงิน และนโยบายการเงินควรพุ่งเป้าหมายไปที่เสถียรภาพด้านราคาและการขยายตัวทางเศรษฐกิจเท่านั้น
นักลงทุนมองว่าแถลงการณ์ดังกล่าวเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าควรจะขายเยนต่อไป หลังจากที่เยนชะลอตัวในสัปดาห์ที่แล้วก่อนการประชุมกลุ่มจี-20และในวันนี้ เยนอยู่ที่ 94.15 เทียบดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าระดับต่ำสุดในรอบ
33 เดือนที่ 94.465 เทียบดอลลาร์ที่ทำไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว
"ในที่ประชุมกลุ่มจี-20 ไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากนักจากกลุ่มประเทศเกิดใหม่เกี่ยวกับกาารอ่อนค่าของเยนตามที่วิตกกัน ซึ่งทำให้มีแรงขายเยนออกมา" นายเคียวยะ โอกาซาวะ ผู้อำนวยการฝ่ายหุ้นทั่วโลกจากบีเอ็นพี พาริบาส์ ระบุ
หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ช่วยหนุนการพุ่งขึ้นของตลาดขณะที่นักลงทุนถือว่าการที่กลุ่มจี-20 ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายกระตุ้นเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า ญี่ปุ่นสามารถดำเนินนโยบายต่อไปได้โดยไม่ทำให้เกิดข้อขัดแย้ง
หุ้นกลุ่มธนาคารชั้นนำ 3 แห่งของญี่ปุ่นอยู่ในกลุ่มหุ้นที่มีการซื้อขายคึกคักที่สุด 6 อันดับแรก
"เราคาดว่าความสนใจของนักลงทุนต่อหุ้นญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้นอีก ขณะที่การแต่งตั้งผู้ว่าการบีโอเจ และมาตรการต่อไปของบีโอเจมีความชัดเจนขึ้นและมีรายละเอียดมากขึ้นเกี่ยวกับการเปิดเสรีและข้อเสนออื่นๆของรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ขณะที่เรามองเห็นโอกาสที่ราคาหุ้นจะพุ่งขึ้นอีกในช่วงหลายเดือนข้างหน้า" นายนัตซูมุ สึจิโน นักวิเคราะห์ด้านธนาคารจากเจพีมอร์แกน กล่าว
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ทะยานขึ้นมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในวันนี้
การอ่อนค่าของเยนช่วยหนุนดัชนีนิกเกอิพุ่งขึ้นราว 32% นับตั้งแต่กลางเดือน พ.ย. โดยนายอาเบะ ผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในขณะนั้น ได้เริ่มเรียกร้องให้มีการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังแบบเชิงรุกมากขึ้นเพื่อทำให้ญี่ปุ่นฟื้นตัวจากภาวะเงินฝืด
บล.โนมูระคาดว่าระดับ 11,800 จะเป็นเป้าหมายระยะใกล้ ถ้าดอลลาร์/เยนอยู่เหนือระดับ 95 และโนมูระระบุว่า เป้าหมายช่วงปลายปีสำหรับดัชนีนิกเกอิยังคงอยู่ที่ระดับ 12,500
โนมูระระบุว่า นักลงทุนพุ่งความสนใจไปที่หุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ และมีความเสี่ยงสูง แต่เนื่องจากการเลือกหุ้นมีความสำคัญมากขึ้น ผลตอบแทนต่อหุ้นก็จะยังคงเป็นสิ่งบ่งชี้การลงทุนที่สำคัญ
ผลสำรวจของธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) บ่งชี้ในวันนี้ว่าความขัดแย้งทั่วโลกเกี่ยวกับนโยบายค่าเงินได้กลายเป็นความเสี่ยงครั้งใหม่ที่สำคัญต่อระบบการเงินของเกาหลีใต้ ขณะที่ความวิตกเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนและสหรัฐคลี่คลายลง
ผลสำรวจบ่งชี้ว่า หนี้สินภาคครัวเรือนซึ่งวัดได้มากกว่า 1.5 เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อปี และอยู่ในกลุ่มอันดับที่สูงที่สุดในโลกนั้น ยังคงเป็นความเสี่ยงสูงสุด 1 ใน 5 ของระบบการเงินเกาหลีใต้
ผลสำรวจผู้ที่มีส่วนร่วมในตลาดการเงิน 90 รายซึ่งรวมถึงผู้บริหารอาวุโสและผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงสูงสุดต่อระบบการเงินนั้น ผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า 82.2% เปิดเผยว่า หนี้สินภาคครัวเรือนเป็นความเสี่ยงสูงสุด และจัดเป็นประเภทความเสี่ยงในระยะกลาง
ขณะที่ผู้ตอบแบบสำรวจ 57.8% ระบุว่า ความขัดแย้งด้านอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งเกิดจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลดค่าเงินนั้นเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับ 2
การประชุมกลุ่มประเทศจี-20 ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมายืนยันที่จะไม่มีการแข่งขันกันลดค่าเงิน แม้จี-20 ตระหนักถึงความเสี่ยงของมาตรการกระตุ้นด้านการเงิน โดย BOK จัดทำการสำรวจนี้ระหว่างวันที่ 17-24 ม.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่มีการถกเถียงกันมากที่สุดเกี่ยวกับค่าเงินแต่เป็นช่วงก่อนการประชุมกลุ่มจี-20
BOK ระบุในแถลงการณ์ว่า เมื่อเทียบกับผลสำรวจครั้งก่อนที่เปิดเผยในเดือนส.ค.ปีที่ผ่านมา หนี้ภาคครัวเรือนยังคงเป็น 1 ใน 5 ของปัจจัยเสี่ยงของระบบการเงินเกาหลีใต้ แต่ความขัดแย้งด้านค่าเงินเป็นความเสี่ยงที่ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก
มีความไม่พอใจมากขึ้นซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศตลาดเกิดใหม่เกี่ยวกับการดำเนินการในช่วงที่ผ่านมาของญี่ปุ่นในการขยายนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษ ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินเยนร่วงลงอย่างรุนแรงเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่
วอนปรับตัวขึ้นราว 6% เมื่อเทียบกับเยนแล้วในปีนี้ หลังพุ่งขึ้น 23%ในปีที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มความวิตกว่า การส่งออกไปยังตลาดที่สำคัญๆอาจจะเผชิญกับความยากลำบาก ท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ล่าช้า
หยวนอ่อนค่าลงในวันนี้ หลังจากธนาคารกลางจีนได้กำหนดค่ากลางในระดับที่ต่ำลงเล็กน้อยเพื่อสะท้อนการแข็งค่าของดอลลาร์ในตลาดโลกในช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนในสัปดาห์ที่แล้ว
ค่าเงินหยวนในตลาดสปอตอยู่ที่ 6.2413 หยวน/ดอลลาร์ใกล้ช่วงเที่ยงวันที่18 กพ. โดยปรับตัวลง 0.14% จากระดับปิดที่ 6.2325 หยวน/ดอลลาร์เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ซึ่งเป็นวันซื้อขายสุดท้ายก่อนเทศกาลตรุษจีน
ภาวะซื้อขายซบเซา โดยมีมูลค่าซื้อขาย 5.3 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเช้านี้ ขณะที่ตลาดยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่จากบรรยากาศวันหยุด
ธนาคารกลางจีนกำหนดค่ากลางของหยวนที่ระดับต่ำลง โดยลดลง0.04% จากวันที่ 8 ก.พ. ซึ่งสะท้อนถึงการแข็งค่าขึ้น 0.45% ของดัชนีดอลลาร์ในช่วงเทศกาลตรุษจีน
จีนเปิดเผยข้อมูลก่อนเทศกาลตรุษจีนว่า การส่งออกในเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2011 และสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 17% ส่งผลให้จีนมียอดเกินดุลการค้า2.92 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. เทียบกับที่คาดไว้ที่ 2.20 หมื่นล้านดอลลาร์และ 3.16 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค.
อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินของจีนทรงตัวที่ระดับต่ำในวันนี้ ขณะที่ความต้องการเงินสดในช่วงวันหยุดเบาบางลง แต่อัตราดอกเบี้ยอาจพุ่งขึ้นในสัปดาห์นี้ เนื่องจากธนาคารกลางจีนอาจจะไม่อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน
อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) ระยะ 7 วันของจีน อยู่ที่ระดับ 2.92%ในช่วงเที่ยงวันนี้ และต่ำกว่าระดับ 3% ซึ่งเทรดเดอร์มองว่าบ่งชี้ถึงภาวะที่ผ่อนคลาย
ส่วนอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรประเภทข้ามคืนยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 1.86%
แต่ธนาคารกลางจีนไม่ได้สอบถามธนาคารต่างๆเกี่ยวกับความต้องการในข้อตกลงซื้อพันธบัตรโดยมีสัญญาขายคืน (reverse repo) ซึ่งมักจะออกทุกวันอังคาร
reverse repo กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดเงินนับตั้งแต่กลางปี 2012 และถ้าไม่มีการออก reverse repo ในสัปดาห์นี้ ก็จะเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว
แต่ธนาคารกลางได้สอบถามธนาคารเกี่ยวกับความต้องการ forward repo ระยะ28 วัน และ 91 วัน ซึ่งเป็นการดึงสภาพคล่องออกจากระบบ
ก่อนเทศกาลตรุษจีน ธนาคารกลางได้อัดฉีดเม็ดเงินมากเป็นประวัติการณ์ 8.60แสนล้านหยวน (1.38 แสนล้านดอลลาร์) ผ่าน reverse repo ระยะ 14 วัน และเนื่องจากเครื่องมือทางการเงินดังกล่าวจะครบกำหนดไถ่ถอนในสัปดาห์นี้ และอาจจะไม่มีการออกreverse repo ใหม่ การถอนสภาพคล่องออกจากระบบในสัปดาห์นี้จึงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง
ผู้สังเกตการณ์ตลาดไม่แน่ใจว่า การดำเนินการดังกล่าวของธนาคารกลางเป็นการจัดการช่วงสั้นๆต่อสภาวะที่ผ่อนคลายผิดปกติในขณะนี้หรือเป็นการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญมากกว่านี้
อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางอาจไม่ใช้ forward repo เนื่องจากสามารถดึงสภาพคล่องออกจากระบบได้ด้วยการออก reverse repo ในจำนวนที่น้อยกว่า 8.60 แสนล้านหยวน
(ข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์)
T.Thammasak
นักลงทุนมองว่าแถลงการณ์ดังกล่าวเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าควรจะขายเยนต่อไป หลังจากที่เยนชะลอตัวในสัปดาห์ที่แล้วก่อนการประชุมกลุ่มจี-20และในวันนี้ เยนอยู่ที่ 94.15 เทียบดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าระดับต่ำสุดในรอบ
33 เดือนที่ 94.465 เทียบดอลลาร์ที่ทำไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว
"ในที่ประชุมกลุ่มจี-20 ไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากนักจากกลุ่มประเทศเกิดใหม่เกี่ยวกับกาารอ่อนค่าของเยนตามที่วิตกกัน ซึ่งทำให้มีแรงขายเยนออกมา" นายเคียวยะ โอกาซาวะ ผู้อำนวยการฝ่ายหุ้นทั่วโลกจากบีเอ็นพี พาริบาส์ ระบุ
หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ช่วยหนุนการพุ่งขึ้นของตลาดขณะที่นักลงทุนถือว่าการที่กลุ่มจี-20 ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายกระตุ้นเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า ญี่ปุ่นสามารถดำเนินนโยบายต่อไปได้โดยไม่ทำให้เกิดข้อขัดแย้ง
หุ้นกลุ่มธนาคารชั้นนำ 3 แห่งของญี่ปุ่นอยู่ในกลุ่มหุ้นที่มีการซื้อขายคึกคักที่สุด 6 อันดับแรก
"เราคาดว่าความสนใจของนักลงทุนต่อหุ้นญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้นอีก ขณะที่การแต่งตั้งผู้ว่าการบีโอเจ และมาตรการต่อไปของบีโอเจมีความชัดเจนขึ้นและมีรายละเอียดมากขึ้นเกี่ยวกับการเปิดเสรีและข้อเสนออื่นๆของรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ขณะที่เรามองเห็นโอกาสที่ราคาหุ้นจะพุ่งขึ้นอีกในช่วงหลายเดือนข้างหน้า" นายนัตซูมุ สึจิโน นักวิเคราะห์ด้านธนาคารจากเจพีมอร์แกน กล่าว
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ทะยานขึ้นมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในวันนี้
การอ่อนค่าของเยนช่วยหนุนดัชนีนิกเกอิพุ่งขึ้นราว 32% นับตั้งแต่กลางเดือน พ.ย. โดยนายอาเบะ ผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในขณะนั้น ได้เริ่มเรียกร้องให้มีการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังแบบเชิงรุกมากขึ้นเพื่อทำให้ญี่ปุ่นฟื้นตัวจากภาวะเงินฝืด
บล.โนมูระคาดว่าระดับ 11,800 จะเป็นเป้าหมายระยะใกล้ ถ้าดอลลาร์/เยนอยู่เหนือระดับ 95 และโนมูระระบุว่า เป้าหมายช่วงปลายปีสำหรับดัชนีนิกเกอิยังคงอยู่ที่ระดับ 12,500
โนมูระระบุว่า นักลงทุนพุ่งความสนใจไปที่หุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ และมีความเสี่ยงสูง แต่เนื่องจากการเลือกหุ้นมีความสำคัญมากขึ้น ผลตอบแทนต่อหุ้นก็จะยังคงเป็นสิ่งบ่งชี้การลงทุนที่สำคัญ
ผลสำรวจของธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) บ่งชี้ในวันนี้ว่าความขัดแย้งทั่วโลกเกี่ยวกับนโยบายค่าเงินได้กลายเป็นความเสี่ยงครั้งใหม่ที่สำคัญต่อระบบการเงินของเกาหลีใต้ ขณะที่ความวิตกเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนและสหรัฐคลี่คลายลง
ผลสำรวจบ่งชี้ว่า หนี้สินภาคครัวเรือนซึ่งวัดได้มากกว่า 1.5 เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อปี และอยู่ในกลุ่มอันดับที่สูงที่สุดในโลกนั้น ยังคงเป็นความเสี่ยงสูงสุด 1 ใน 5 ของระบบการเงินเกาหลีใต้
ผลสำรวจผู้ที่มีส่วนร่วมในตลาดการเงิน 90 รายซึ่งรวมถึงผู้บริหารอาวุโสและผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงสูงสุดต่อระบบการเงินนั้น ผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า 82.2% เปิดเผยว่า หนี้สินภาคครัวเรือนเป็นความเสี่ยงสูงสุด และจัดเป็นประเภทความเสี่ยงในระยะกลาง
ขณะที่ผู้ตอบแบบสำรวจ 57.8% ระบุว่า ความขัดแย้งด้านอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งเกิดจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลดค่าเงินนั้นเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับ 2
การประชุมกลุ่มประเทศจี-20 ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมายืนยันที่จะไม่มีการแข่งขันกันลดค่าเงิน แม้จี-20 ตระหนักถึงความเสี่ยงของมาตรการกระตุ้นด้านการเงิน โดย BOK จัดทำการสำรวจนี้ระหว่างวันที่ 17-24 ม.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่มีการถกเถียงกันมากที่สุดเกี่ยวกับค่าเงินแต่เป็นช่วงก่อนการประชุมกลุ่มจี-20
BOK ระบุในแถลงการณ์ว่า เมื่อเทียบกับผลสำรวจครั้งก่อนที่เปิดเผยในเดือนส.ค.ปีที่ผ่านมา หนี้ภาคครัวเรือนยังคงเป็น 1 ใน 5 ของปัจจัยเสี่ยงของระบบการเงินเกาหลีใต้ แต่ความขัดแย้งด้านค่าเงินเป็นความเสี่ยงที่ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก
มีความไม่พอใจมากขึ้นซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศตลาดเกิดใหม่เกี่ยวกับการดำเนินการในช่วงที่ผ่านมาของญี่ปุ่นในการขยายนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษ ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินเยนร่วงลงอย่างรุนแรงเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่
วอนปรับตัวขึ้นราว 6% เมื่อเทียบกับเยนแล้วในปีนี้ หลังพุ่งขึ้น 23%ในปีที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มความวิตกว่า การส่งออกไปยังตลาดที่สำคัญๆอาจจะเผชิญกับความยากลำบาก ท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ล่าช้า
หยวนอ่อนค่าลงในวันนี้ หลังจากธนาคารกลางจีนได้กำหนดค่ากลางในระดับที่ต่ำลงเล็กน้อยเพื่อสะท้อนการแข็งค่าของดอลลาร์ในตลาดโลกในช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนในสัปดาห์ที่แล้ว
ค่าเงินหยวนในตลาดสปอตอยู่ที่ 6.2413 หยวน/ดอลลาร์ใกล้ช่วงเที่ยงวันที่18 กพ. โดยปรับตัวลง 0.14% จากระดับปิดที่ 6.2325 หยวน/ดอลลาร์เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ซึ่งเป็นวันซื้อขายสุดท้ายก่อนเทศกาลตรุษจีน
ภาวะซื้อขายซบเซา โดยมีมูลค่าซื้อขาย 5.3 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเช้านี้ ขณะที่ตลาดยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่จากบรรยากาศวันหยุด
ธนาคารกลางจีนกำหนดค่ากลางของหยวนที่ระดับต่ำลง โดยลดลง0.04% จากวันที่ 8 ก.พ. ซึ่งสะท้อนถึงการแข็งค่าขึ้น 0.45% ของดัชนีดอลลาร์ในช่วงเทศกาลตรุษจีน
จีนเปิดเผยข้อมูลก่อนเทศกาลตรุษจีนว่า การส่งออกในเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2011 และสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 17% ส่งผลให้จีนมียอดเกินดุลการค้า2.92 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. เทียบกับที่คาดไว้ที่ 2.20 หมื่นล้านดอลลาร์และ 3.16 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค.
อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินของจีนทรงตัวที่ระดับต่ำในวันนี้ ขณะที่ความต้องการเงินสดในช่วงวันหยุดเบาบางลง แต่อัตราดอกเบี้ยอาจพุ่งขึ้นในสัปดาห์นี้ เนื่องจากธนาคารกลางจีนอาจจะไม่อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน
อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) ระยะ 7 วันของจีน อยู่ที่ระดับ 2.92%ในช่วงเที่ยงวันนี้ และต่ำกว่าระดับ 3% ซึ่งเทรดเดอร์มองว่าบ่งชี้ถึงภาวะที่ผ่อนคลาย
ส่วนอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรประเภทข้ามคืนยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 1.86%
แต่ธนาคารกลางจีนไม่ได้สอบถามธนาคารต่างๆเกี่ยวกับความต้องการในข้อตกลงซื้อพันธบัตรโดยมีสัญญาขายคืน (reverse repo) ซึ่งมักจะออกทุกวันอังคาร
reverse repo กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดเงินนับตั้งแต่กลางปี 2012 และถ้าไม่มีการออก reverse repo ในสัปดาห์นี้ ก็จะเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว
แต่ธนาคารกลางได้สอบถามธนาคารเกี่ยวกับความต้องการ forward repo ระยะ28 วัน และ 91 วัน ซึ่งเป็นการดึงสภาพคล่องออกจากระบบ
ก่อนเทศกาลตรุษจีน ธนาคารกลางได้อัดฉีดเม็ดเงินมากเป็นประวัติการณ์ 8.60แสนล้านหยวน (1.38 แสนล้านดอลลาร์) ผ่าน reverse repo ระยะ 14 วัน และเนื่องจากเครื่องมือทางการเงินดังกล่าวจะครบกำหนดไถ่ถอนในสัปดาห์นี้ และอาจจะไม่มีการออกreverse repo ใหม่ การถอนสภาพคล่องออกจากระบบในสัปดาห์นี้จึงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง
ผู้สังเกตการณ์ตลาดไม่แน่ใจว่า การดำเนินการดังกล่าวของธนาคารกลางเป็นการจัดการช่วงสั้นๆต่อสภาวะที่ผ่อนคลายผิดปกติในขณะนี้หรือเป็นการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญมากกว่านี้
อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางอาจไม่ใช้ forward repo เนื่องจากสามารถดึงสภาพคล่องออกจากระบบได้ด้วยการออก reverse repo ในจำนวนที่น้อยกว่า 8.60 แสนล้านหยวน
(ข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์)
T.Thammasak