แมงเม้าท์เล่าอินไซด์ มาแล้วจร้า...มาท่ามกลางความไฉไลของตลาดหุ้น ที่พุ่งทะลุขอบฟ้า ด้วยราคาปิดสุดสัปดาห์แบบเลขเบิ้ล 1499.22 จุด ทำสถิติต่อเนื่องในรอบ 18 ปีกว่าๆ เท่าที่จำกันได้หุ้นไทยเคยแตะ 1500 จุด ก็เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2537 นู้นนนนนนนน
และคราวนี้ก็มาถึงคิวพี่ใหญ่อย่าง กลุ่มพลังงาน ที่ โชว์พาวเวอร์ ขั้นเทพ ลากหุ้นไทยขึ้นมาถึงขนาดนี้ อย่าง ปตท. ที่วันนี้ ทะยานขึ้นมาแตะ 354 บาท หลังจากโบรกใหญ่จากต่างประเทศ อย่าง UBS เชียร์ซื้อ ให้เป็นหุ้น TOP PICK เลยติดเครื่องแรงส์
แถมเม็ดเงินฟันด์โฟลว์ ยังวิ่งกระหน่ำเข้ามา หลังสภาสูงของสหรัฐโหวตผ่านขยายเพดานหนี้สหรัฐ ที่คนเค้ากังวลกันออกไปอีก 3 เดือน งานนี้ก็เลยไหลเข้าหุ้นไทยกระจาย
แน่นอนว่าหุ้นไทยขึ้นแรงไม่หยุดก็ต้องมีเสียวเป็นธรรมดา แต่ลองคิดง่ายๆว่า เงินที่ถูกอัดฉีดจากสหรัฐ จากยุโรป จากญี่ปุ่น มันล้นขนาดไหน แถมอัตราดอกเบี้ยก็สุดแสนที่จะต่ำ ฉะนั้น ถ้ายังไม่มีอะไรมากระทบแรงๆ หรือ เกิดมาตรการเรียกเม็ดเงินคืนใดๆ มันก็ย่อมล้นเป็นปกติ
ถ้าเรานับเม็ดเงินที่ออกมาประมาณ 2 ล้านล้านดอลล์ แค่ 5% มาเข้าเอเชีย มันก็วิ่งอยู่แล้ว ดังนั้นช่วงเวลาตลาดหุ้นปรับฐานลงถ้าดูแล้ว ข่าวที่มากระทบไม่ได้มีการเรียกเม็ดเงินคืน หรือ รัฐบาลไทยไม่ได้สกัดเงินบาทอย่างร้อนรน ก็จะกลายเป็นช่วงที่น่าสนใจ คุ้นๆ เหมือนรายการ final call บอกเมื่อ พฤหัสไหมเนี่ย
แต่บอกไว้นิดต้องระวังกับค่าเงินบาทเล็กน้อยตอนที่จะขึ้นไปแตะในระดับเลขกลม เช่น 29.50 บาท หรือ 29 บาท อาจจะมีการขายออกมา หรือ ถูกแทรงแซงได้บ้าง
ตอนนี้คิดถึงไปที่กฎของพ่อมดการเงิน จอร์จ โซรอส ที่คเยบอกหลัก ทฤษฎีสะท้อนกลับ ว่า หุ้นที่คนมองว่าขึ้นสูงแล้ว ก็ยังขึ้นสูงได้อีก...และหุ้นที่คนมองว่าต่ำแล้วยังต่ำได้อีก เลยนะเนี่ย
แต่ไหนๆ ลงทุนแล้วจะไปละเลยความเสี่ยงก็ไม่ได้...มีวิธีดูว่า ต่างชาติ เค้าจะตีจากหรือยังมาฝาก นั้นก็คือ ให้ดูที่ตลาดตราสารหนี้ ที่บรรดาฝรั่งเค้าลงทุนเป็นตราสารหนี้รายเดือน หากครบกำหนดแล้วยังคงเอาเงินมาลงใหม่เรื่อยๆ แสดงว่ายังไม่คิดจะไปไหน ... แต่ถ้าหนีไปเยอะ งานนี้ก็ต้องระวังแรงขายทำกำไรกันละทีเนี้ย ...
ส่วนเรื่องของการปรับฐานของหุ้นไทยที่ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ซักที ใช้วิธีดูแบบนี้ ปกติ แล้วหุ้นที่ถูกลากขึ้นมามากๆ จะปรับฐานแรงๆ ประมาณซัก 1 ใน 3 ดังนั้นหุ้นไทยที่วิ่งมาแรงจาก 1280 จุด เมื่อปลายปีที่ผ่านมามาถึง 1500 จุด ก็ราว 70 จุด ที่จะปรับฐาน ซึ่งเกิดฟลุ๊กปรับฐานแรงๆ ตอนนี้ เทรนด์หุ้นไทย ก็ยังไม่เสียหายเท่าใด ...
ไปดูนักวิเคราะห์ประเมินหุ้นไทยกันดีกว่า นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธการลงทุน บล.ธนชาต มอง แนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้า นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า ตลาดฯคงจะแกว่งไซด์เวย์ในกรอบ 1,470-1,500 จุด ในลักษณะของการสร้างฐานก่อน พร้อมแนะให้ติดตามการประชุมของธนาคารกลางยุโรป(ECB)ในสัปดาห์หน้า
ขณะที่ นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้บริหารสายงาน วิเคราะห์หลักทรัพย์ และกลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ชี้ว่า ตลาดวันนี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอีกครั้ง หลังจากที่ได้มีการปรับฐานเมื่อพฤหัส ดังนั้นมองแนวโน้มตลาดหุ้นในสัปดาห์หน้า เขา คาดว่ายังมีโอกาสปรับขึ้นต่อได้ เนื่องจากได้รับผลดีจากเงินทุนต่างชาติที่ยังไหลเข้ามาลงทุน โดยมองดัชนีจะมีแนวต้านที่ 1,500 และ 1,520 ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1,480 และ 1,470 จุด
ถึงเวลาชื่นชมกับ 2 ยักษ์ของไทย อย่างเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าพ่อน้ำเมาจาก บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ที่สามารถเข้าครอง บริษัทเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ หรือ (F&N) สำเร็จ ซึ่ง บริษัทแห่งนี้ถือเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์นมในสิงคโปร์, มาเลเซีย และ ไทย และมีเครือข่ายจัดจำหน่ายสินค้า ในตลาดเกิดใหม่หลายแห่ง เช่น เวียดนาม และพม่า นอกจากนี้ยังมีอสังหา และ ธุรกิจสิ่งพิมพ์
ส่วนเจ้าสัวซีพี ธนินท์ เจียรวนนท์ ก็คว้า หุ้น PING AN INSURANCE เสร็จสมบูรณ์แล้วใน 1 ก.พ.56 หลัง ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับการประกอบธุรกิจประกันภัยของจีน
ขณะที่ดีล “ไรมอนด์แลนด์” (RML) ท้ายที่สุดก็เห็นภาพแล้วว่า กลุ่มของคุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ก็เป็นฝ่ายเข้าวินได้ครอง ไรมอนแลนด์สำเร็จ หลังจาก “ไรมอน แลนด์” แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า IFA Hotels & Resorts 3 Ltd.(IFA) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บริษัทว่าในวันนี้ได้ขายหุ้น RML ให้กับ JS Oil Pte Ltd.ทั้งสิ้น 893 ล้านหุ้น ด้วยราคาที่ 2.40 บาท แถมส่งกุนซือคู่ใจ “ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” คนกันเองนั่งประธานบอร์ด RML คนใหม่ … ถือเป็นความใจถึงของกลุ่มนี้ หลังจากก่อนหน้านี้ให้ราคาต่ำแค่ 2.10 บาท เลยยืดเยื้อ พอเพิ่มปุ๊บจบปั๊บ หุหุหุ
สังเกตแล้วใช่ไหมว่าอสังหาริมทรัพย์โดดเด่นแค่ไหน ... คนใกล้ชิดรัฐบาลถึงพยายามรุกมากมายขนาดนี้ ไล่เรียงตั้งแต่ “เสี่ยเนสกาแฟ” ... “เศรษฐา ทวีสิน” ... จนมาถึงกลุ่ม “ลิปตพัลลภ“ หุหุ ไปติดตามเอาเอง ส่วนใครที่คิดจะเล่น RML ก็ดูตามนี้ เทรนดี ถ้าไม่หลุด 2.28 บาท ในช่วงติดแคชบาลาซ์ ก็ยิ้มได้เลย นักวิเคราะห์เค้าชี้มา
และคราวนี้ก็มาถึงคิวพี่ใหญ่อย่าง กลุ่มพลังงาน ที่ โชว์พาวเวอร์ ขั้นเทพ ลากหุ้นไทยขึ้นมาถึงขนาดนี้ อย่าง ปตท. ที่วันนี้ ทะยานขึ้นมาแตะ 354 บาท หลังจากโบรกใหญ่จากต่างประเทศ อย่าง UBS เชียร์ซื้อ ให้เป็นหุ้น TOP PICK เลยติดเครื่องแรงส์
แถมเม็ดเงินฟันด์โฟลว์ ยังวิ่งกระหน่ำเข้ามา หลังสภาสูงของสหรัฐโหวตผ่านขยายเพดานหนี้สหรัฐ ที่คนเค้ากังวลกันออกไปอีก 3 เดือน งานนี้ก็เลยไหลเข้าหุ้นไทยกระจาย
แน่นอนว่าหุ้นไทยขึ้นแรงไม่หยุดก็ต้องมีเสียวเป็นธรรมดา แต่ลองคิดง่ายๆว่า เงินที่ถูกอัดฉีดจากสหรัฐ จากยุโรป จากญี่ปุ่น มันล้นขนาดไหน แถมอัตราดอกเบี้ยก็สุดแสนที่จะต่ำ ฉะนั้น ถ้ายังไม่มีอะไรมากระทบแรงๆ หรือ เกิดมาตรการเรียกเม็ดเงินคืนใดๆ มันก็ย่อมล้นเป็นปกติ
ถ้าเรานับเม็ดเงินที่ออกมาประมาณ 2 ล้านล้านดอลล์ แค่ 5% มาเข้าเอเชีย มันก็วิ่งอยู่แล้ว ดังนั้นช่วงเวลาตลาดหุ้นปรับฐานลงถ้าดูแล้ว ข่าวที่มากระทบไม่ได้มีการเรียกเม็ดเงินคืน หรือ รัฐบาลไทยไม่ได้สกัดเงินบาทอย่างร้อนรน ก็จะกลายเป็นช่วงที่น่าสนใจ คุ้นๆ เหมือนรายการ final call บอกเมื่อ พฤหัสไหมเนี่ย
แต่บอกไว้นิดต้องระวังกับค่าเงินบาทเล็กน้อยตอนที่จะขึ้นไปแตะในระดับเลขกลม เช่น 29.50 บาท หรือ 29 บาท อาจจะมีการขายออกมา หรือ ถูกแทรงแซงได้บ้าง
ตอนนี้คิดถึงไปที่กฎของพ่อมดการเงิน จอร์จ โซรอส ที่คเยบอกหลัก ทฤษฎีสะท้อนกลับ ว่า หุ้นที่คนมองว่าขึ้นสูงแล้ว ก็ยังขึ้นสูงได้อีก...และหุ้นที่คนมองว่าต่ำแล้วยังต่ำได้อีก เลยนะเนี่ย
แต่ไหนๆ ลงทุนแล้วจะไปละเลยความเสี่ยงก็ไม่ได้...มีวิธีดูว่า ต่างชาติ เค้าจะตีจากหรือยังมาฝาก นั้นก็คือ ให้ดูที่ตลาดตราสารหนี้ ที่บรรดาฝรั่งเค้าลงทุนเป็นตราสารหนี้รายเดือน หากครบกำหนดแล้วยังคงเอาเงินมาลงใหม่เรื่อยๆ แสดงว่ายังไม่คิดจะไปไหน ... แต่ถ้าหนีไปเยอะ งานนี้ก็ต้องระวังแรงขายทำกำไรกันละทีเนี้ย ...
ส่วนเรื่องของการปรับฐานของหุ้นไทยที่ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ซักที ใช้วิธีดูแบบนี้ ปกติ แล้วหุ้นที่ถูกลากขึ้นมามากๆ จะปรับฐานแรงๆ ประมาณซัก 1 ใน 3 ดังนั้นหุ้นไทยที่วิ่งมาแรงจาก 1280 จุด เมื่อปลายปีที่ผ่านมามาถึง 1500 จุด ก็ราว 70 จุด ที่จะปรับฐาน ซึ่งเกิดฟลุ๊กปรับฐานแรงๆ ตอนนี้ เทรนด์หุ้นไทย ก็ยังไม่เสียหายเท่าใด ...
ไปดูนักวิเคราะห์ประเมินหุ้นไทยกันดีกว่า นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธการลงทุน บล.ธนชาต มอง แนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้า นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า ตลาดฯคงจะแกว่งไซด์เวย์ในกรอบ 1,470-1,500 จุด ในลักษณะของการสร้างฐานก่อน พร้อมแนะให้ติดตามการประชุมของธนาคารกลางยุโรป(ECB)ในสัปดาห์หน้า
ขณะที่ นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้บริหารสายงาน วิเคราะห์หลักทรัพย์ และกลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ชี้ว่า ตลาดวันนี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอีกครั้ง หลังจากที่ได้มีการปรับฐานเมื่อพฤหัส ดังนั้นมองแนวโน้มตลาดหุ้นในสัปดาห์หน้า เขา คาดว่ายังมีโอกาสปรับขึ้นต่อได้ เนื่องจากได้รับผลดีจากเงินทุนต่างชาติที่ยังไหลเข้ามาลงทุน โดยมองดัชนีจะมีแนวต้านที่ 1,500 และ 1,520 ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1,480 และ 1,470 จุด
ถึงเวลาชื่นชมกับ 2 ยักษ์ของไทย อย่างเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าพ่อน้ำเมาจาก บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ที่สามารถเข้าครอง บริษัทเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ หรือ (F&N) สำเร็จ ซึ่ง บริษัทแห่งนี้ถือเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์นมในสิงคโปร์, มาเลเซีย และ ไทย และมีเครือข่ายจัดจำหน่ายสินค้า ในตลาดเกิดใหม่หลายแห่ง เช่น เวียดนาม และพม่า นอกจากนี้ยังมีอสังหา และ ธุรกิจสิ่งพิมพ์
ส่วนเจ้าสัวซีพี ธนินท์ เจียรวนนท์ ก็คว้า หุ้น PING AN INSURANCE เสร็จสมบูรณ์แล้วใน 1 ก.พ.56 หลัง ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับการประกอบธุรกิจประกันภัยของจีน
ขณะที่ดีล “ไรมอนด์แลนด์” (RML) ท้ายที่สุดก็เห็นภาพแล้วว่า กลุ่มของคุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ก็เป็นฝ่ายเข้าวินได้ครอง ไรมอนแลนด์สำเร็จ หลังจาก “ไรมอน แลนด์” แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า IFA Hotels & Resorts 3 Ltd.(IFA) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บริษัทว่าในวันนี้ได้ขายหุ้น RML ให้กับ JS Oil Pte Ltd.ทั้งสิ้น 893 ล้านหุ้น ด้วยราคาที่ 2.40 บาท แถมส่งกุนซือคู่ใจ “ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” คนกันเองนั่งประธานบอร์ด RML คนใหม่ … ถือเป็นความใจถึงของกลุ่มนี้ หลังจากก่อนหน้านี้ให้ราคาต่ำแค่ 2.10 บาท เลยยืดเยื้อ พอเพิ่มปุ๊บจบปั๊บ หุหุหุ
สังเกตแล้วใช่ไหมว่าอสังหาริมทรัพย์โดดเด่นแค่ไหน ... คนใกล้ชิดรัฐบาลถึงพยายามรุกมากมายขนาดนี้ ไล่เรียงตั้งแต่ “เสี่ยเนสกาแฟ” ... “เศรษฐา ทวีสิน” ... จนมาถึงกลุ่ม “ลิปตพัลลภ“ หุหุ ไปติดตามเอาเอง ส่วนใครที่คิดจะเล่น RML ก็ดูตามนี้ เทรนดี ถ้าไม่หลุด 2.28 บาท ในช่วงติดแคชบาลาซ์ ก็ยิ้มได้เลย นักวิเคราะห์เค้าชี้มา