เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - “ฟอร์บส์” นิตยสารด้านธุรกิจและการเงินชื่อดังของสหรัฐฯ เปิดเผยผลการจัดอันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของโลกล่าสุดประจำปี 2013 (The 2013 Forbes Billionaires) ซึ่งระบุว่า การ์โลส สลิม เอลู หรือ “คาร์ลอส สลิม” มหาเศรษฐีชาวเม็กซิกัน วัย 73 ปี เจ้าของกิจการบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่อย่าง “อเมริกา โมบิล” และ “เตลเม็กซ์” ยังคงรั้งอันดับ 1 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมล่าสุด 73,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.174 ล้านล้านบาท) ส่วนเจ้าสัว ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) รั้งตำแหน่งมหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของไทย และอันดับที่ 58 ของโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 14,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 426,000 ล้านบาท) ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ที่หลบหนีคดีทุจริตอยู่ในต่างแดนและครอบครัว รั้งอันดับ 882 ของโลกของอันดับ 6 ของไทย จากการมีทรัพย์สินในครอบครอง 1,700 ล้านดอลลาร์ (ราว 50,642 ล้านบาท) ภายหลังได้รับเงินที่ถูกทางการอายัดไว้กลับคืนมาร่วมๆ 1,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 29,790 ล้านบาท)
นิตยสารฟอร์บส์ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่เมื่อปี 1917 เผยผลการจัดอันดับบุคคลที่รวยที่สุดของโลกล่าสุด โดยระบุว่าในปีนี้มีมหาเศรษฐีจากทั่วโลกติดอันดับทั้งสิ้น 1,426 ราย และกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่ารวยที่สุดของโลกเหล่านี้มีมูลค่าทรัพย์สินรวมกันทั้งสิ้นกว่า 5.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 160.8 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากการสำรวจในปีก่อนที่บรรดาเศรษฐีระดับโลกมีมูลค่าทรัพย์สินรวมกันที่ราว 4.6 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 137 ล้านล้านบาท)
โดยในปีนี้ การ์โลส สลิม เอลู เจ้าพ่อโทรคมนาคมจากเม็กซิโก วัย 73 ปี ยังคงรั้งตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมล่าสุด 73,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.174 ล้านล้านบาท) ขณะที่อันดับ 2-5 ในปีนี้ประกอบด้วย บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ชาวอเมริกัน วัย 57 ปี (67,000 ล้านดอลลาร์), อามันซิโอ ออร์เตกา เจ้าของเสื้อผ้าแบรนด์ดัง “Zara” จากสเปน วัย 76 ปี (57,000 ล้านดอลลาร์), วอร์เร็น บัฟเฟตต์ วัย 82 ปี แห่งเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ จากสหรัฐฯ (53,500 ล้านดอลลาร์) และแลร์รี เอลลิสัน วัย 68 ปีจากบริษัท “ออราเคิล” ของสหรัฐฯ (43,000 ล้านดอลลาร์) ในอันดับที่ 5
ส่วนมหาเศรษฐีที่ถูกระบุว่ามีทรัพย์สินมากที่สุดตั้งแต่อันดับที่ 6-10 ของโลกประจำปี 2013 ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินในความครอบครองลดหลั่นลงมาตั้งแต่ 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จนถึง 29,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น ประกอบด้วย สองพี่น้องชาร์ลส์ และเดวิด ค็อค จากสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในอันดับ 6 ทั้งคู่, ลี กา-ชิง จากเขตปกครองพิเศษฮ่องกง, ลิลิยง เบตเตนคอร์ตและครอบครัว ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการ “ลอรีอัล” แห่งฝรั่งเศส และอันดับที่ 10 คือ แบร์กนาร์ อาร์โนลต์ วัย 64 ปี เจ้าของแบรนด์หรู “หลุยส์ วิตตอง” และเครือ LVMH จากฝรั่งเศส
ส่วนอันดับอื่นๆ ที่น่าสนใจตามข้อมูลของฟอร์บส์ ได้แก่ คริสตี วอลตัน วัย 58 ปีและครอบครัว ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการห้างค้าปลีก “วอลมาร์ท” จากสหรัฐฯ ที่ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 11 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 28,200 ล้านดอลลาร์, อันดับ 12 สเตฟาน เพอร์สสัน เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า “H&M” จากประเทศสวีเดน (28,000 ล้านดอลลาร์), อันดับ 13 ไมเคิล บลูมเบิร์ก นายกเทศมนตรีมหานครนิวยอร์กคนปัจจุบัน และเจ้าของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก วัย 71 ปี (27,000 ล้านดอลลาร์), อันดับ 19 เจฟฟ์ เบโซส วัย 49 แห่งเว็บไซต์ “Amazon.com” จากสหรัฐฯ (25,200 ล้านดอลลาร์), อันดับที่ 20 และ 21 แลร์รี เพจ และเซอร์เก บริน สองผู้บริหารของ “กูเกิล” ที่มีทรัพย์สิน 23,000 ล้านดอลลาร์ และ 22,800 ล้านดอลลาร์ตามลำดับ
ขณะที่ มิเคเล แฟร์เรโร วัย 87 ปี เจ้าของแบรนด์ช็อกโกแลตยี่ห้อดัง “Ferrero Rocher” จากอิตาลี อยู่ในอันดับที่ 23 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 20,400 ล้านดอลลาร์, จอร์จ โซรอส พ่อมดการเงินชื่อก้องโลกชาวอเมริกันเชื้อสายฮังการี วัย 82 ปี อยู่ในอันดับที่ 30 ของโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 19,200 ล้านดอลลาร์ ส่วน มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์ “เฟซบุ๊ก” วัยเพียง 28 ปีจากสหรัฐฯ ถูกจัดให้รวยเป็นอันดับที่ 66 ของโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 13,300 ล้านดอลลาร์
แต่หากนับเฉพาะมหาเศรษฐีของเอเชียแล้ว ลี กาชิง วัย 84 ปีจากฮ่องกงที่ได้อันดับที่ 8 ของโลกจะกลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชียด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 31,000 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยมูเกช อัมบานี เจ้าพ่อพลังงานจากอินเดีย (21,500 ล้านดอลลาร์), หลี่ เฉา กี จากฮ่องกง (20,300 ล้านดอลลาร์), เจ้าชายอัลวาลีด บิน ตาลาล แห่งซาอุดีอาระเบีย (20,000 ล้านดอลลาร์) และสองพี่น้องโธมัส-เรย์มอนด์ ก๊วก ราชาอสังหาริมทรัพย์จากฮ่องกง (20,000 ล้านดอลลาร์)
ในส่วนของประเทศไทยมีเศรษฐีติดอันดับรวยสุดในโลกของฟอร์บส์ในปีนี้รวม 10 ราย คือ เจ้าสัว ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) รั้งตำแหน่งมหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของไทย และอันดับที่ 58 ของโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 14,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 426,000 ล้านบาท) ตามมาด้วยเจริญ สิริวัฒนภักดี แห่ง “เบียร์ช้าง” ที่ได้อันดับ 82 ของโลก (11,700 ล้านดอลลาร์), ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ แห่ง “บ้านพฤกษา” ที่ได้อันดับ 736 ของโลก (2,000 ล้านดอลลาร์), กฤษณ์ รัตนรักษ์ แห่งเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา และบมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง ที่ได้อันดับ 785 ของโลก (1,950 ล้านดอลลาร์), นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ แห่งกลุ่มโรงพยาบาลเครือกรุงเทพดุสิตเวชการ และสายการบินบางกอกแอร์เวย์ อยู่ในอันดับที่ 825 ของโลก (1,850 ล้านดอลลาร์)
ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยและครอบครัวรั้งอันดับ 882 ของโลก และอันดับ 6 ของไทย จากการมีทรัพย์สินในครอบครอง 1,700 ล้านดอลลาร์ (ราว 50,642 ล้านบาท) ฟอร์บส์ให้รายละเอียดว่า นักโทษหลบหนีโทษจำคุกผู้นี้ ได้หวนกลับมาอยู่ในรายชื่ออภิมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์ของนิตยสารนี้อีกครั้งภายหลังหลุดไป 1 ทศวรรษ หลังจากที่เขาได้เปิดเผยกับฟอร์บส์ในเดือนตุลาคมปีที่แล้วว่า เขาได้รับคืนทรัพย์สินมาเกือบๆ 1,000 ล้านดอลลาร์ จากจำนวน 2,300 ล้านดอลลาร์ซึ่งถูกทางการผู้มีอำนาจของไทยอายัดเอาไว้ นอกจากนั้น ฟอร์บส์ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นในระดับซึ่งสามารถควบคุมบริษัท เอสซีแอสเสท กิจการอสังหาริมทรัพย์ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบันเคยเป็นผู้บริหาร
ส่วน วาณิช ไชยวรรณ แห่งไทยประกันชีวิต ได้อันดับที่ 1,031 ของโลก (1,400 ล้านดอลลาร์), คีรี กาญจนพาสน์ ประธานบริหารบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี ที่ได้อันดับที่ 1,107 ของโลก (1,300 ล้านดอลลาร์) ร่วมกับ อาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) และปิดท้ายด้วยอันดับที่ 1,268 ของโลก คือ วิชัย ทองแตง ผู้ถือหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลเครือกรุงเทพดุสิตเวชการ และกลุ่มเคเบิลทีวี CTH ที่มีทรัพย์สินในครอบครองสุทธิตามข้อมูลของฟอร์บส์ 1,100 ล้านดอลลาร์