xs
xsm
sm
md
lg

SCC ตั้งเป้ายอดขาย 4.35 แสนล้าน ลั่นปีนี้กำไรโตขึ้นหลังปี 55 วูบกว่า 3 พันล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน - ปูนซิเมนต์ไทยตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 7% อยู่ที่ 4.35 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิสูงกว่า 2.35 หมื่นล้านบาท แม้ว่ายอดขายปิโตรเคมีลดลง 2% จากการปิดซ่อมใหญ่โรงมาบตาพุด โอเลฟินส์ก็ตาม เผยงบลงทุนปีนี้ 4-5 หมื่นล้านบาท โดยกึ่งหนึ่งลงทุนในอาเซียน บอร์ดจ่ายปันผล 11 บาท/หุ้น แม้กำไรงวดปี 55 รูด 14%

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้จากการขาย 4.35 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปี 2555 มีรายได้จากการขาย 4.07 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิโตขึ้นจากปีก่อนที่บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 2.35 หมื่นล้านบาท เนื่องจากทุกธุรกิจหลักของเครือฯ มียอดขายโตขึ้นกว่า 10% เว้นธุรกิจปิโตรเคมีที่ปีนี้คาดว่าจะมียอดขายลดลง 2% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2.03 แสนล้านบาท เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ (เทิร์นอะราวนด์) โรงมาบตาพุด โอเลฟินส์ในช่วงไตรมาส 4 นี้เป็นเวลา 45 วัน ทำให้ปริมาณโอเลฟินส์หายไป 12% จากกำลังการผลิต 1.7 ล้านตันต่อปี ส่งผลให้โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกต้องหยุดผลิตด้วย ส่วนโรงระยองโอเลฟินส์จะยังเดินเครื่องจักรเต็มที่ 1.2 ล้านตันต่อปี

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทฯ มั่นใจว่าธุรกิจปิโตรเคมีเริ่มค่อยฟื้นตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว โดยส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบแนฟทา (สเปรด) เริ่มดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2555 โดยสเปรดเม็ดพลาสติก PE ปีที่แล้วเฉลี่ยอยู่ที่ 437 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่เดือน ม.ค.นี้สเปรดอยู่ที่ 487 เหรียญสหรัฐ/ตัน เม็ดพสาสติก PP สเปรดปีที่แล้วเฉลี่ย 502 เหรียญสหรัฐ/ตัน ม.ค.นี้เฉลี่ยอยู่ที่ 562 เหรียญสหรัฐ/ตัน คาดในปลายปีนี้สเปรดเม็ดพลาสติกน่าจะขยับขึ้นมาแตะระดับ 550 เหรียญสหรัฐ/ตันได้ จากปีที่แล้วเฉลี่ยอยู่ที่ 480 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนสเปรดเม็ดพลาสติก PVC ก็ดีมากต่อเนื่องมา 5-6 ไตรมาสแล้ว ซึ่งมีส่วนสำคัญทำให้กำไรของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมมีของเครือฯ ดีอยู่

ส่วนธุรกิจซีเมนต์ปีนี้คาดว่าตลาดในประเทศโต 5-10% จากปริมาณการใช้ปูนรวม 30 กว่าล้านตัน เนื่องจากมีโครงการก่อสร้างพื้นฐานของรัฐ การลงทุนของภาคเอกชนและที่พักอาศัยยังโตขึ้น เช่นเดียวกับตลาดภูมิภาคอาเซียนที่คาดว่าการใช้ปูนจะขยายตัว 10% ทำให้ปีนี้บริษัทฯ ต้องลดการส่งออกปูนไปต่างประเทศเหลือเพียง 4 ล้านตันจากปีก่อนส่งออกปูน 5.7 ล้านตันเพื่อรองรับความต้องการใช้ปูนในประเทศ

“ปีนี้บริษัทฯ มีกำไรเพิ่มขึ้นแน่นอน ขณะที่ยอดขายโตขึ้น 7% จากปีก่อน และถ้ามีการควบรวมกิจการเพิ่มขึ้นก็จะทำให้บริษัทฯ รับรู้รายได้เข้ามามากขึ้นด้วย”

สำหรับงบลงทุนใน 5 ปีนี้อยู่ที่ 2 แสนล้านบาท เน้นธุรกิจซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง และดิสทริบิวชัน โดยปีนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อนที่ใช้งบลงทุน 4.7 หมื่นล้านบาท โดยครึ่งหนึ่งเป็นการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย เวียดนาม และพม่า ขณะที่การลงทุนในไทยนับจากนี้ส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) รวมทั้งได้จัดเตรียมงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D)2.15 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้งบฯ 1.43 พันล้านบาท

นายกานต์กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม มูลค่า 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐจะสามารถสรุปการจัดหาเงินกู้โครงการได้ในปลายปีนี้ เนื่องจากสถานการณ์ค่าเงินด่งของเวียดนามเริ่มนิ่งตลอดปีที่ผ่านมา ขณะที่ราคาค่าเครื่องจักรก็ต่ำลงจากภาวะเศรษฐกิจโลกด้วย

ปี 55 กำไรวูบ 14%

สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2555 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 4.07 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นของทุกธุรกิจ และมีกำไรสุทธิ 2.35 หมื่นล้านบาท ลดลง 14% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.72 หมื่นล้านบาท เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมีขาลง และการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือลดลงในไตรมาส 2/2555 รวมถึงการหยุดผลิตของบริษัท กรุงเทพซินธิติกส์ด้วย

เมื่อแยกตามธุรกิจพบว่า เอสซีจี เคมิคอลส์มีรายได้ในปี 2555 อยู่ที่ 2.03 แสนล้านบาท โตขึ้น 5% แต่กำไรสุทธิ 2.69 พันล้านบาท ลดลง 76% เอสซีจี เปเปอร์ มีรายได้ 5.74 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% และกำไรสุทธิ 3.56 พันล้านบาท โตขึ้น 7% เอสซีจี ซิเมนต์ มีรายได้ 6.75 หมื่นล้านบาท เติบโต 25% และกำไรสุทธิ 9.16 พันล้านบาท โตขึ้น 26% เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้ 4.13 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% และกำไรสุทธิ 2.94 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปีก่อน

ดังนั้น คณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติจ่ายเงินปันผลงวดปี 2555 ในอัตราหุ้นละ 11 บาท โดยได้จ่ายปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกหุ้นละ 4.50 บาท โดยจะเสนอต่อที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 27 มี.ค. 2556

นอกจากนี้ บอร์ดบริษัทฯ จะเสนอขออนุมัติผู้ถือหุ้นเพิ่มวงเงินการออกหุ้นกู้อีก 5 หมื่นล้านบาท รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 2 แสนล้านบาท โดยบอร์ดมีมติให้ออกหุ้นกู้และเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ไม่เกิน 2.5 หมื่นล้านบาท อายุ 4 ปีเพื่อใช้ไถ่ถอนคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระในวันที่ 1 เม.ย.นี้จำนวน 2 หมื่นล้านบาท และออกหุ้นกู้เพิ่มเติมอีก 5 พันล้านบาทเพื่อรองรับการลงทุนที่จะเกิดขึ้น

สำหรับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น บริษัทฯ ได้รับผลกระทบเพราะเป็นผู้ส่งออกสุทธิ (Net Export) และมีการส่งออกที่ลดลง แต่บริษัทฯ ได้ทำประกันความเสี่ยงบางส่วน ทำให้ได้รับผลกระทบจากค่าเงินไม่มากนักประมาณ 300-400 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น