ASTVผู้จัดการรายวัน - พีทีที โกลบอลฯ ใช้เงินลงทุนปีนี้ไม่เกิน 1พันล้านเหรียญเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซ่อมบำรุงโรงงาน รวมทั้งจ่อขยายกำลังการผลิตแบบคอขวด หวังเพิ่มกำลังการผลิตปิโตรฯอีก 10-20% ดัน EBITDA โต 5% ยันปีนี้ปิดซ่อมโรงกลั่น 45 วันไม่กระทบรายได้ ชี้กลางปีนี้ได้ข้อสรุปการลงทุนในอาเซียน
นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ จะเน้นการเพิ่มยอดผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งมีแผนขยายกำลังการผลิตแบบคอขวด (Debottle neck) ทั้งในส่วนโรงอะโรเมติกส์และโอเลฟินส์ ทำให้กำลังผลิตเพิ่มขึ้นอีก 10-20% ส่งผลให้กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) ของบริษัทฯ ในช่วง 5 ปีนี้โตขึ้นเฉลี่ยปีละ 5%
โดยปีนี้บริษัทฯ จะใช้เงินลงทุนไม่เกิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือไม่เกิน 3 หมื่นล้านบาท เพื่อปรับปรุงโรงงานเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และจะปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมันเป็นเวลา 45 วัน ซึ่งยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทฯ ในปีนี้
ส่วนแผนการลงทุน 5 ปีนี้อยู่ที่ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากทิศทางยังไม่เปลี่ยนแปลง โดยมุ่งเน้นการสร้าง Synergy การลงทุนโครงการต่อยอดจากธุรกิจในปัจจุบัน การผลิตผลิตภัณฑ์เกรดพิเศษ รวมทั้งการขยายการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะมาเลเซีย อินโดนีเซีย และจีน ซึ่งอยู่ระหว่างรอความชัดเจนผลการศึกษาความเป็นไปได้ในโครงการต่างๆ คาดว่าจะได้ข้อสรุปอย่างช้าในกลางปีนี้
“ภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯ ในปีนี้ยังต้องพึ่งพาตลาดภายในประเทศมากกว่า 50% ดังนั้นการเติบโตในแง่ยอดขายปีนี้คงไม่แตกต่างจากปี 2555 โดยกำลังการผลิตส่วนใหญ่ดีขึ้นกว่าปีก่อนเล็กน้อย แต่ราคาขายผลิตภัณฑ์น่าจะใกล้เคียงปีที่แล้ว แต่กำไรจะเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มประสิทธิภาพและโครงการ Synergy หลังควบรวมกิจการ ส่งผลให้ผลตอบแทนจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นในปีนี้ ถึงปี 2557”
นายอนนต์กล่าวถึงคืบหน้าการลงทุนในอาเซียนว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในโครงการปิโตรเคมีขั้นปลาย (ดาวน์สตรีม) ในมาเลเซีย 2 โครงการ โดยศึกษาทั้งวัตถุดิบ ตลาดและเทคโนโลยี ยืนยันว่าโครงการลงทุนดาวน์สตรีมในมาเลเซียนั้นจะไม่มีผลกระทบต่อโครงการในไทย เนื่องจากเป็นการผลิตพลาสติกเกรดพิเศษ ทำให้ปริมาณการผลิตไม่สูงและใช้เงินลงทุนไม่สูงมากนัก คาดว่าจะมีความชัดเจนไม่เกินกลางปี 2556
นอกจากนี้ยังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการปิโตรเคมีที่อินโดนีเซีย เพื่อรองรับความต้องการใช้เม็ดพลาสติกในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งปัจจุบันประเทศดังกล่าวต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
นายอนนต์กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ ยังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการผลิตโพลีคาร์บอเนต เนื่องจากบริษัทฯ มีวัตถุดิบคือโพรพิลีนออกไซด์อยู่แล้ว โดยยืนยันว่าโครงการนี้บริษัทฯ ต้องการลงทุนในไทยก่อน คาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 1/2556 รวมทั้งบริษัทฯ จะรุกเข้าสู่ธุรกิจไบโอพลาสติก แม้ว่าช่วงนี้ต้นทุนการผลิตยังสูงอยู่ แต่ในอนาคตมีแนวโน้มดีเป็นไปตามเทรนด์ของโลก ทำให้บริษัทฯ ต้องมีเทคโนโลยีให้พร้อม เบื้องต้นจะยังไม่มีการโหมการลงทุนในไทย
แนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและการกลั่นในปีนี้จะดีขึ้นบ้างแต่ไม่มาก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังน่าเป็นห่วงทั้งสหรัฐฯ และยุโรป ที่ต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวโดยเฉพาะยุโรป ดังนั้นเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียยังดีอยู่ ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจโลกโตไปได้ โดยบริษัทฯ ยังคงพึ่งพาตลาดในภูมิภาคนี้เป็นหลัก