ปูนซิเมนต์ไทย เผยบริษัทลูกในเวียดนาม บรรลุข้อตกลงสัญญาซื้อขายหุ้นแบบมีเงื่อนไขกับผู้ถือ
หุ้นเดิมของ Prime Group Joint StockCompany ในเวียดนาม คาดสรุปผลไตรมาสแรกปี 56 หวังเติบโตอย่างมีศักยภาพขยายการลงทุนสู่ภูมิภาคอาเซียน
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC แจ้งว่า บริษัทเอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด (หรือเอสซีจี) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้นร้อยละ 100 ได้บรรลุข้อตกลงในสัญญาซื้อขายหุ้นแบบมีเงื่อนไข (Conditional Shares Purchase Agreement หรือ CSPA) กับผู้ถือหุ้นในปัจจุบันของบริษัท Prime Group Joint StockCompany (หรือ Prime Group) ในการเข้าซื้อธุรกิจกระเบื้องเซรามิก และสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องของ Prime Group ในประเทศเวียดนาม
ทั้งนี้ รายการดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อได้บรรลุเงื่อนไขต่างๆ ใน CSPA แล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปได้ภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ซึ่ง Prime Group ดำเนินธุรกิจโดยมีโรงงานกระเบื้องเซรามิก 6 โรงงาน ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 75 ล้านตารางเมตร และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกชั้นนำในประเทศเวียดนาม โดยมีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศประมาณร้อยละ 20
นอกจากนั้น Prime Group ยังเป็นเจ้าของสินทรัพย์หลักๆ เช่น เหมืองดินเหนียว เหมืองทราย รวมทั้งเหมืองแร่เฟลด์สปาร์ ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบหลักสำหรับการผลิตกระเบื้องเซรามิก และยังเป็นเจ้าของโรงงานกระเบื้องหลังคาดินเผา ซึ่งมีกำลังการผลิต 1.5 ล้านตารางเมตร ด้วยเงินลงทุนประมาณ 7,200 ล้านบาท และเอสซีจี จะถือหุ้นใน Prime Group ร้อยละ 85 ในขณะที่ผู้ก่อตั้งบริษัทยังคงสัดส่วนการถือหุ้นที่เหลืออีกร้อยละ 15 ทั้งนี้ หลังจากการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทดังกล่าวแล้ว จะทำให้ เอสซีจี มีกำลังการผลิตกระเบื้องเซรามิกรวมทั้งสิ้น 225 ล้านตารางเมตร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนในประเทศไทยร้อยละ 48 ประเทศเวียดนามร้อยละ 33 ประเทศอินโดเนียเซียร้อยละ 14 และประเทศฟิลิปปินส์ร้อยละ 5
การลงทุนดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์หลักของเอสซีจี ที่มุ่งมั่นจะเติบโตและยกระดับความสามารถ และศักยภาพในการขยายการลงทุนไปยังภูมิภาคอาเซียน หลังจากที่เอสซีจี ได้เข้าซื้อหุ้นในธุรกิจกระเบื้องเซรามิกของ KIA (PTKeramika Indonesia Associasi Tbk) ในประเทศอินโดนีเซีย เมื่อกลางปี 2554 และการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในธุรกิจกระเบื้องเซรามิกของ Mariwasa (Mariwasa-Siam Ceramics, Inc) ในประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อต้นปี 2555
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวข้างต้นไม่เข้าข่ายที่จะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ในเรื่องการได้มา หรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ และไม่ใช่รายการที่เกี่ยวโยงกัน
หุ้นเดิมของ Prime Group Joint StockCompany ในเวียดนาม คาดสรุปผลไตรมาสแรกปี 56 หวังเติบโตอย่างมีศักยภาพขยายการลงทุนสู่ภูมิภาคอาเซียน
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC แจ้งว่า บริษัทเอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด (หรือเอสซีจี) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้นร้อยละ 100 ได้บรรลุข้อตกลงในสัญญาซื้อขายหุ้นแบบมีเงื่อนไข (Conditional Shares Purchase Agreement หรือ CSPA) กับผู้ถือหุ้นในปัจจุบันของบริษัท Prime Group Joint StockCompany (หรือ Prime Group) ในการเข้าซื้อธุรกิจกระเบื้องเซรามิก และสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องของ Prime Group ในประเทศเวียดนาม
ทั้งนี้ รายการดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อได้บรรลุเงื่อนไขต่างๆ ใน CSPA แล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปได้ภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 ซึ่ง Prime Group ดำเนินธุรกิจโดยมีโรงงานกระเบื้องเซรามิก 6 โรงงาน ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 75 ล้านตารางเมตร และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกชั้นนำในประเทศเวียดนาม โดยมีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศประมาณร้อยละ 20
นอกจากนั้น Prime Group ยังเป็นเจ้าของสินทรัพย์หลักๆ เช่น เหมืองดินเหนียว เหมืองทราย รวมทั้งเหมืองแร่เฟลด์สปาร์ ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบหลักสำหรับการผลิตกระเบื้องเซรามิก และยังเป็นเจ้าของโรงงานกระเบื้องหลังคาดินเผา ซึ่งมีกำลังการผลิต 1.5 ล้านตารางเมตร ด้วยเงินลงทุนประมาณ 7,200 ล้านบาท และเอสซีจี จะถือหุ้นใน Prime Group ร้อยละ 85 ในขณะที่ผู้ก่อตั้งบริษัทยังคงสัดส่วนการถือหุ้นที่เหลืออีกร้อยละ 15 ทั้งนี้ หลังจากการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทดังกล่าวแล้ว จะทำให้ เอสซีจี มีกำลังการผลิตกระเบื้องเซรามิกรวมทั้งสิ้น 225 ล้านตารางเมตร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนในประเทศไทยร้อยละ 48 ประเทศเวียดนามร้อยละ 33 ประเทศอินโดเนียเซียร้อยละ 14 และประเทศฟิลิปปินส์ร้อยละ 5
การลงทุนดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์หลักของเอสซีจี ที่มุ่งมั่นจะเติบโตและยกระดับความสามารถ และศักยภาพในการขยายการลงทุนไปยังภูมิภาคอาเซียน หลังจากที่เอสซีจี ได้เข้าซื้อหุ้นในธุรกิจกระเบื้องเซรามิกของ KIA (PTKeramika Indonesia Associasi Tbk) ในประเทศอินโดนีเซีย เมื่อกลางปี 2554 และการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในธุรกิจกระเบื้องเซรามิกของ Mariwasa (Mariwasa-Siam Ceramics, Inc) ในประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อต้นปี 2555
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวข้างต้นไม่เข้าข่ายที่จะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ในเรื่องการได้มา หรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ และไม่ใช่รายการที่เกี่ยวโยงกัน