ASTVผู้จัดการรายวัน-"คิวคอน"ลั่นปี 56 ยอดขายเติบโต20% รับแรงหนุนช่องทางจัดจำหน่ายเครือเอสซีจี ทุ่ม 750 ล้านบาท ลงทุนสร้างโรงงานใหม่ในสระบุรี ขยายกำลังผลิตเพิ่ม 6 ล้านตร.ม. เดินเครื่องมี.ค.ปี 56 ดันกำลังรวม 20 ล้านตร.ม.
นายกิตติ สุนทรมโนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ Q-CON ผู้ผลิตอิฐมวลเบารายใหญ่ กล่าวถึงเป้าหมายในปี 2556 ว่า จะมีการเติบโตของยอดขายที่ 20% เทียบกับปี 55 ที่คาดว่าจะมีตัวเลขอยู่ที่ 2,100 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.) บริษัทมียอดขาย 1,700 เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 54 ซึ่งในปีที่ผ่านมา ตลาดค่อนข้างชะลอตัวอย่างมาก จากเหตุการณ์อุทกภัยน้ำท่วมใหญ่
นอกจากนี้ การที่บริษัท เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ในเครือบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เข้าถือหุ้นใหญ่ 67.62% ทำให้บริษัทได้รับปัจจัยบวกจากช่องทางการจำหน่ายผ่านเครือข่ายของเครือซิเมนต์ไทย ทั้งดีลเลอร์ และซับดีลเล่อร์ รวมถึงโฮมมาร์ท โดยวางเป้าหมายที่จะกระจายสินค้าผ่านดีลเลอร์และซับดีลเลอร์เพิ่มเป็น 30% จากปัจจุบัน 18%
ทั้งนี้ ในภาพรวมของตลาดรวมอิฐมวลเบาแล้ว ในแต่ละปีจะขยายตัวอยู่ที่ 13-14 ล้านตารางเมตร(ตร.ม.) ขณะที่ตลาดรวมผนังและพื้น มีความต้องการใช้ 350-400 ล้านตร.ม.ต่อปี คิดเป็นมูลค่า 52,000-60,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้อิฐแดงและอิฐมอญจะมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 94% เหลือเพียง 6% ที่อิฐมวลเบาสามารถเข้ามาส่วนแบ่งตลาด ดังนั้น ยังเห็นช่องทางในการขยายตลาดได้อีกจำนวนมาก
โดยทางบริษัท ได้ใช่้งบ 750 ล้านบาท ในการตั้งโรงงานผลิตอิฐมวลเบาแห่งใหม่ในจังหวัดสระบุรี มีกำลังรวม 6 ล้านตร.ม. คาดว่าเดินสายการผลิตได้ในเดือนมี.ค. 56 ทำให้กำลังรวมเพิ่มเป็น 20 ล้านตร.ม. เพื่อรองรับการขยายตัวของความต้องการใช้อิฐมวลเบาในตลาดรวมที่จะขยายตัวในอนาคต ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดอิฐมวลเบาสูงสุดในประเทศ อยู่ที่ระดับ 60% โดย สินค้าส่วนใหญ่จำหน่ายในประเทศ และในปีหน้าจะขยายการส่งสินค้าไปยังกัมพูชา พม่า และลาว ส่วนในอินโดนีเซียนั้น จะมีการส่งสินค้าออกไปจำหน่าย เพื่อเปิดตลาดในระหว่างที่รอเครือ ซิเมนต์ไทยสร้างโรงงานอิฐมวลเบา ในอินโดนีเซีย
นายกิตติ สุนทรมโนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ Q-CON ผู้ผลิตอิฐมวลเบารายใหญ่ กล่าวถึงเป้าหมายในปี 2556 ว่า จะมีการเติบโตของยอดขายที่ 20% เทียบกับปี 55 ที่คาดว่าจะมีตัวเลขอยู่ที่ 2,100 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.) บริษัทมียอดขาย 1,700 เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 54 ซึ่งในปีที่ผ่านมา ตลาดค่อนข้างชะลอตัวอย่างมาก จากเหตุการณ์อุทกภัยน้ำท่วมใหญ่
นอกจากนี้ การที่บริษัท เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ในเครือบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เข้าถือหุ้นใหญ่ 67.62% ทำให้บริษัทได้รับปัจจัยบวกจากช่องทางการจำหน่ายผ่านเครือข่ายของเครือซิเมนต์ไทย ทั้งดีลเลอร์ และซับดีลเล่อร์ รวมถึงโฮมมาร์ท โดยวางเป้าหมายที่จะกระจายสินค้าผ่านดีลเลอร์และซับดีลเลอร์เพิ่มเป็น 30% จากปัจจุบัน 18%
ทั้งนี้ ในภาพรวมของตลาดรวมอิฐมวลเบาแล้ว ในแต่ละปีจะขยายตัวอยู่ที่ 13-14 ล้านตารางเมตร(ตร.ม.) ขณะที่ตลาดรวมผนังและพื้น มีความต้องการใช้ 350-400 ล้านตร.ม.ต่อปี คิดเป็นมูลค่า 52,000-60,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้อิฐแดงและอิฐมอญจะมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 94% เหลือเพียง 6% ที่อิฐมวลเบาสามารถเข้ามาส่วนแบ่งตลาด ดังนั้น ยังเห็นช่องทางในการขยายตลาดได้อีกจำนวนมาก
โดยทางบริษัท ได้ใช่้งบ 750 ล้านบาท ในการตั้งโรงงานผลิตอิฐมวลเบาแห่งใหม่ในจังหวัดสระบุรี มีกำลังรวม 6 ล้านตร.ม. คาดว่าเดินสายการผลิตได้ในเดือนมี.ค. 56 ทำให้กำลังรวมเพิ่มเป็น 20 ล้านตร.ม. เพื่อรองรับการขยายตัวของความต้องการใช้อิฐมวลเบาในตลาดรวมที่จะขยายตัวในอนาคต ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดอิฐมวลเบาสูงสุดในประเทศ อยู่ที่ระดับ 60% โดย สินค้าส่วนใหญ่จำหน่ายในประเทศ และในปีหน้าจะขยายการส่งสินค้าไปยังกัมพูชา พม่า และลาว ส่วนในอินโดนีเซียนั้น จะมีการส่งสินค้าออกไปจำหน่าย เพื่อเปิดตลาดในระหว่างที่รอเครือ ซิเมนต์ไทยสร้างโรงงานอิฐมวลเบา ในอินโดนีเซีย
