“หม่อมอุ๋ย” แนะอนาคต ศก.ไทยต้องเพิ่มแรงส่งอื่นเพื่อทดแทนส่งออก พร้อมจวก “ประชานิยม” เป็นนโยบายการเมืองที่มักง่าย ขาดความละอายต่อบาป (หิริโอตตัปปะ) ซึ่งเป็นการสร้างความเสียหายต่องบประมาณของแผ่นดิน หวั่นทำหนี้สาธารณะท่วม โดยผลเสียจะไปตกที่รัฐบาลชุดต่อไป ซึ่งจะเข้ามาบริหารงานต่อจากรัฐบาลนี้ และคงเป็นเรื่องยากที่จะหาแนวทางป้องกันไม่ให้มีการนำงบประมาณไปใช้ในการสร้างคะแนนนิยมให้ตัวเอง
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีต รมว.คลัง กล่าวในการสัมมนาหัวข้อ “โจทย์ท้าทาย อนาคตเศรษฐกิจไทย” โดยระบุว่า ถือเป็นโจทย์ท้าทายที่ต้องกลับไปมองให้ประเทศมีแรงส่งอื่นๆ ที่จะเข้ามาทดแทนการส่งออก โดยต้องขยายฐานภาคผลิตสินค้าที่เราเป็นผู้ค้าสำคัญของโลกเพื่อผลิตสินค้าป้อน Trade Network ที่มีอยู่ ซึ่งรัฐบาลต้องเข้ามาส่งเสริมอย่างจริงจัง
พร้อมกันนั้น จะต้องขยายการค้าในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ด้วยสินค้าที่ไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขัน และต้องทำให้ประเทศไทยเป็นแหล่งเสรีทางการค้าเพื่อดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยว รวมทั้งขยายการค้ากับประเทศรอบด้านโดยอาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ เช่น ขยายเส้นทางรถยนต์ รถไฟ เส้นทางน้ำภายในประเทศที่สะดวกรวดเร็ว ปรับกฎระเบียบการค้าให้คล่องตัวที่สุด มีเงื่อนไขน้อยที่สุด ส่งเสริมการขยายฐานการผลิตออกไปยังประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านให้ได้ผลจริงจัง
“โจทย์ท้าทายอนาคตเศรษฐกิจไทยมีอยู่ 2 ด้าน คือ ด้านหนทางเศรษฐกิจจะเจริญเติบโตต่อไปได้อย่างไร และด้านการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตอย่างมั่นคง”
อดีตผู้ว่าการ ธปท. และอดีต รมว.คลังกล่าวอีกว่า ต้องย้อนกลับไปดูว่าปัจจัยที่หนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมาจากอะไร โดยก่อนปี 2500 ประเทศไทยเจริญเติบโตด้วยภาคเกษตรกรรม มีการส่งออกพืชผลและแร่ มีการค้าขายในประเทศ โดยเศรษฐกิจมีการเติบโตไม่ถึง 5%
แต่พอหลังจากปี 2500-2525 ไทยเปิดประเทศมากขึ้น มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศ มีการเพิ่มอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า (ปลายน้ำ) ส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูป และธุรกิจบริการอื่นๆ ซึ่งเศรษฐกิจโตถึงร้อยละ 6-7 และเมื่อปี 2525-2550 ประเทศไทยเดินหน้าอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบ มีอุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เป็นส่วนของ Supply Chain ของภูมิภาคและโลก ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดอย่างมาก มีการส่งออกสินค้าหลากหลายประเภททุกรูปแบบ ธุรกิจบริการก้าวหน้า โดยเศรษฐกิจช่วงนั้นโตร้อยละ 8-10
แต่หลังปี 2550 เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลงร้อยละ 4-5 เนื่องจากแรงงานเริ่มขาดแคลนทำให้ต้องจ้างแรงงานต่างชาติ พื้นที่สำหรับลงทุนมีจำกัดลง
ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ไม่ดูแลรักษาเรื่องวินัยการเงินการคลังให้ดี นโยบายประชานิยมที่นำมาใช้เป็นการหาคะแนนนิยมด้วยวิธีการที่มักง่าย ขาดความละอายต่อบาป (หิริโอตตัปปะ) ซึ่งเป็นการสร้างความเสียหายต่องบประมาณของแผ่นดิน โดยผลเสียจะไปตกแก่รัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารงานต่อจากรัฐบาลนี้ และคงเป็นเรื่องยากที่จะหาแนวทางป้องกันไม่ให้มีการนำงบประมาณไปใช้ในการสร้างคะแนนนิยมให้ตัวเอง
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังได้แสดงความเป็นห่วงระดับหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะเพิ่มขึ้น ระหว่างปี 2555-2562 มาอยู่ที่ร้อยละ 53.8 จากเดิมเมื่อสิ้นเดือนกันยายน 2555 อยู่ที่ร้อยละ 43.9 โดยมาจากนโยบายและการบริหารงานของรัฐบาล เช่น วงเงินคืนภาษีสรรพสามิต 60,000 ล้านบาท หนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 199,000 ล้านบาท และการเพิ่มทุนธนาคารเฉพาะกิจ 100,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีการกู้เงินเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท โครงการบริหารจัดการน้ำ 350,000 ล้านบาท และกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ 5,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดหนี้สาธารณะก่อนขาดทุนรับจำนำข้าวอยู่ที่ 8.6 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าหากดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อไป หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 จะอยู่ที่ 10.3 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 63.7 ของจีดีพี