ASTV ผู้จัดการรายวัน - “โค้ก” ดิ้นสู้ยึดหัวหาดน้ำดำช่องทางร้านอาหาร หลังระบบการจัดจำหน่าย การสั่งสินค้าต้องออเดอร์ล่วงหน้า ร้านค้าเมินซบเอส หน่วยรถเสริมสุขวิ่งส่งของทุกวัน ด้านเจ้าของร้านอาหารระบุยอดขายเอสเทียบชั้นเป๊ปซี่ไม่ได้ ภาพลักษณ์แบรนด์เทียบกับบิ๊กโคล่า ด้านเป๊ปซี่เร่งเครื่องเสนอตั้งตู้แช่ ร้านค้าปลีกรายย่อยกว้านซื้อน้ำอัดลม ระบุกลายเป็นเครื่องดื่มหายาก
แหล่งข่าวจากวงการเครื่องดื่มกล่าวว่า หลังจากที่เป๊ปซี่ประกาศเลิกทำน้ำอัดลมขวดคืน ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่จำหน่ายในช่องทางร้านอาหารเป็นหลัก ดังนั้นทำให้ระหว่างโค้กกับเอสจึงเปิดศึกที่จะขยายในช่องทางดังกล่าวอย่างรุนแรง นอกจากเหนือจากการทำเทรดโปรโมชันเพื่อผลักดันสินค้าเข้าไปยังช่องทางร้านอาหารแล้ว ล่าสุดร้านอาหารที่จำาหน่ายโค้กได้นำป้ายอาหารและเครื่องดื่มโค้กเพื่อสื่อสารถึงการเป็นเมนูเด็ด อย่างไรก็ตาม จุดที่ทำให้โค้กไม่สามารถเข้าช่องทางร้านอาหารได้มากนัก มาจากระบบการสั่งซื้อสินค้า และการกระจายสินค้า หรือจะจัดส่งสินค้าก็ต่อเมื่อมีออเดอร์เท่านั้น ขณะที่ร้านอาหารส่วนใหญ่ไม่ต้องการสต๊อกสินค้า เนื่องจากไม่มีพื้นที่มากพอให้สต๊อกสินค้า
ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับระบบการจัดจำหน่ายเป๊ปซี่ ซึ่งก่อนหน้านี้เสริมสุขจัดจำหน่ายให้ ร้านอาหารไม่จำเป็นต้องสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า แต่หน่วยรถของเสริมสุขจะมาส่งสินค้าให้ต่อเนื่องเกือบทุกวัน ทำให้แม้ว่าเป๊ปซี่จะเลิกทำาขวดคืน แต่เอสก็ยึดช่องทางร้านอาหารได้มากกว่าโค้ก และเมื่อเทียบกับราคาขายส่งแล้วโค้ก 1 ลัง มี 24 ขวด ราคา 154 บาท ถือว่าราคาถูกกว่าเอส ซึ่งราคาขายส่ง 1 ลัง มี 24 ขวด ราคา 160 บาท มีราคาสูงกว่ากัน 6 บาท แต่เอสให้ปริมาณที่มากกว่า ขณะที่ด้านเป๊ปซี่แม้ว่าจะเลิกทำขวดคืน แต่ก็พยายามเข้ามาช่องทางร้านอาหาร ด้วยการเสนอว่าจะตั้งตู้แช่ให้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การสำรวจร้านอาหารที่เปลี่ยนจากจำหน่ายเป๊ปซี่มาเป็นเอส ส่วนสำคัญที่ตัดสินใจเลือกเอสเนื่องจากระบบการจัดจำหน่ายที่ลงสินค้าให้กับทางร้านทุกวัน ทำให้ไม่ต้องสต๊อกสินค้า และมาจากสายสัมพันธ์ที่ค้าขายกันมานาน ซึ่งแม้ว่าการจำหน่ายเอสจะมียอดขายสู้เป๊ปซี่ไม่ได้ โดยมียอดขาย 10 ลังต่อวัน เทียบกับขายเป๊ปซี่ราว 15 ลังต่อวัน เนื่องจากรสชาติของเอสมีความหวานน้อยกว่า อีกทั้งภาพลักษณ์ของแบรนด์ใกล้เคียงกับบิ๊กโคล่า ขณะที่เป๊ปซี่และโค้กมีภาพลักษณ์เป็นอินเตอร์มากกว่า
“ขณะนี้ตู้แช่ของร้านค้ายังคงเป็นตู้แช่เป๊ปซี่ ซึ่งเสริมสุขคงทยอยปรับตู้แช่ใหม่ ส่วนเทรดโปรโมชันตอนนี้คงเป็น 6 ฝาสามารถแลกน้ำอัดลมฟรี 1 ขวด ในระยะเวลา 1 เดือน สำหรับความเคลื่อนไหวของการนำน้ำสีมาจัดจำหน่าย ทางเสริมสุขได้แจ้งว่ากำลังอยู่ระหว่างการผลิต ดังนั้นร้านอาหารที่จำหน่ายสินค้าของทางเสริมสุข ภายในตู้แช่มีเพียงน้ำดำ ชาเขียวโออิชิขวดคืน และน้ำดื่มคริสตัล” เจ้าของร้านอาหารกล่าว
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเอสได้เปิดตัวน้ำสีแดงสตรอเบอร์รีลงตลาดแล้ว และจากการสำรวจร้านค้าปลีกในตลาดต่างจังหวัดพบว่า ส่วนใหญ่จะซื้อสินค้าจากเอเยนต์ โดยขณะนี้ต้องการสต๊อกเป๊ปซี่เป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเพราะเป็นแบรนด์น้ำอัดลมที่คนไทยนิยมเป็นอันดับแรก โดยในตลาดน้ำดำครองส่วนแบ่งถึง 50% จากมูลค่าตลาดน้ำดำ 26,600 ล้านบาท หรือคิดเป็น 70% จากมูลค่าตลาดรวมน้ำอัดลม 3.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งร้านค้าปลีกรายย่อย กล่าวว่า ขณะนี้เป๊ปซี่หาซื้อยากมาก และลูกค้ายังคงต้องการซื้อเป็นจำานวนมาก ทำาให้ร้านต้องพยายามสต๊อกของไว้ เพราะเกรงว่าเป๊ปซี่จะขาดตลาด
สำหรับด้านช่องทางการจำหน่ายสินค้า ร้านค้าทั่วไปถือว่าเป็นช่องทางจำหน่ายที่ใหญ่ที่สุดถึง 58-60% หรือมีมูลค่า 22,800 ล้านบาท ส่วนช่องทางร้านอาหาร มีสัดส่วนถึง 20% หรือ 7,600 ล้านบาท โดยปัจจุบันโค้กเป็นผู้นำตลาดน้ำอัดลม โดยมีคอร์ปอเรตแชร์ 54% เป๊ปซี่มีส่วนแบ่งลดลงเหลือ 35-37% แต่ในตลาดน้ำดำเป๊ปซี่เป็นผู้นำมีส่วนแบ่ง 50% อันดับ 2 เป็นของแบรนด์โค้ก และอันดับ 3 บิ๊กโคล่ามีส่วนแบ่ง 16.6% ขณะที่เอสตั้งเป้าหมาย 3 ปีจะขึ้นเป็นผู้นำตลาดน้ำอัดลม และปีแรกขึ้นเป็นอันดับ 2 มีส่วนแบ่ง 25% หรือมีรายได้ 8,000 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากวงการเครื่องดื่มกล่าวว่า หลังจากที่เป๊ปซี่ประกาศเลิกทำน้ำอัดลมขวดคืน ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่จำหน่ายในช่องทางร้านอาหารเป็นหลัก ดังนั้นทำให้ระหว่างโค้กกับเอสจึงเปิดศึกที่จะขยายในช่องทางดังกล่าวอย่างรุนแรง นอกจากเหนือจากการทำเทรดโปรโมชันเพื่อผลักดันสินค้าเข้าไปยังช่องทางร้านอาหารแล้ว ล่าสุดร้านอาหารที่จำาหน่ายโค้กได้นำป้ายอาหารและเครื่องดื่มโค้กเพื่อสื่อสารถึงการเป็นเมนูเด็ด อย่างไรก็ตาม จุดที่ทำให้โค้กไม่สามารถเข้าช่องทางร้านอาหารได้มากนัก มาจากระบบการสั่งซื้อสินค้า และการกระจายสินค้า หรือจะจัดส่งสินค้าก็ต่อเมื่อมีออเดอร์เท่านั้น ขณะที่ร้านอาหารส่วนใหญ่ไม่ต้องการสต๊อกสินค้า เนื่องจากไม่มีพื้นที่มากพอให้สต๊อกสินค้า
ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับระบบการจัดจำหน่ายเป๊ปซี่ ซึ่งก่อนหน้านี้เสริมสุขจัดจำหน่ายให้ ร้านอาหารไม่จำเป็นต้องสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า แต่หน่วยรถของเสริมสุขจะมาส่งสินค้าให้ต่อเนื่องเกือบทุกวัน ทำให้แม้ว่าเป๊ปซี่จะเลิกทำาขวดคืน แต่เอสก็ยึดช่องทางร้านอาหารได้มากกว่าโค้ก และเมื่อเทียบกับราคาขายส่งแล้วโค้ก 1 ลัง มี 24 ขวด ราคา 154 บาท ถือว่าราคาถูกกว่าเอส ซึ่งราคาขายส่ง 1 ลัง มี 24 ขวด ราคา 160 บาท มีราคาสูงกว่ากัน 6 บาท แต่เอสให้ปริมาณที่มากกว่า ขณะที่ด้านเป๊ปซี่แม้ว่าจะเลิกทำขวดคืน แต่ก็พยายามเข้ามาช่องทางร้านอาหาร ด้วยการเสนอว่าจะตั้งตู้แช่ให้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การสำรวจร้านอาหารที่เปลี่ยนจากจำหน่ายเป๊ปซี่มาเป็นเอส ส่วนสำคัญที่ตัดสินใจเลือกเอสเนื่องจากระบบการจัดจำหน่ายที่ลงสินค้าให้กับทางร้านทุกวัน ทำให้ไม่ต้องสต๊อกสินค้า และมาจากสายสัมพันธ์ที่ค้าขายกันมานาน ซึ่งแม้ว่าการจำหน่ายเอสจะมียอดขายสู้เป๊ปซี่ไม่ได้ โดยมียอดขาย 10 ลังต่อวัน เทียบกับขายเป๊ปซี่ราว 15 ลังต่อวัน เนื่องจากรสชาติของเอสมีความหวานน้อยกว่า อีกทั้งภาพลักษณ์ของแบรนด์ใกล้เคียงกับบิ๊กโคล่า ขณะที่เป๊ปซี่และโค้กมีภาพลักษณ์เป็นอินเตอร์มากกว่า
“ขณะนี้ตู้แช่ของร้านค้ายังคงเป็นตู้แช่เป๊ปซี่ ซึ่งเสริมสุขคงทยอยปรับตู้แช่ใหม่ ส่วนเทรดโปรโมชันตอนนี้คงเป็น 6 ฝาสามารถแลกน้ำอัดลมฟรี 1 ขวด ในระยะเวลา 1 เดือน สำหรับความเคลื่อนไหวของการนำน้ำสีมาจัดจำหน่าย ทางเสริมสุขได้แจ้งว่ากำลังอยู่ระหว่างการผลิต ดังนั้นร้านอาหารที่จำหน่ายสินค้าของทางเสริมสุข ภายในตู้แช่มีเพียงน้ำดำ ชาเขียวโออิชิขวดคืน และน้ำดื่มคริสตัล” เจ้าของร้านอาหารกล่าว
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเอสได้เปิดตัวน้ำสีแดงสตรอเบอร์รีลงตลาดแล้ว และจากการสำรวจร้านค้าปลีกในตลาดต่างจังหวัดพบว่า ส่วนใหญ่จะซื้อสินค้าจากเอเยนต์ โดยขณะนี้ต้องการสต๊อกเป๊ปซี่เป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเพราะเป็นแบรนด์น้ำอัดลมที่คนไทยนิยมเป็นอันดับแรก โดยในตลาดน้ำดำครองส่วนแบ่งถึง 50% จากมูลค่าตลาดน้ำดำ 26,600 ล้านบาท หรือคิดเป็น 70% จากมูลค่าตลาดรวมน้ำอัดลม 3.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งร้านค้าปลีกรายย่อย กล่าวว่า ขณะนี้เป๊ปซี่หาซื้อยากมาก และลูกค้ายังคงต้องการซื้อเป็นจำานวนมาก ทำาให้ร้านต้องพยายามสต๊อกของไว้ เพราะเกรงว่าเป๊ปซี่จะขาดตลาด
สำหรับด้านช่องทางการจำหน่ายสินค้า ร้านค้าทั่วไปถือว่าเป็นช่องทางจำหน่ายที่ใหญ่ที่สุดถึง 58-60% หรือมีมูลค่า 22,800 ล้านบาท ส่วนช่องทางร้านอาหาร มีสัดส่วนถึง 20% หรือ 7,600 ล้านบาท โดยปัจจุบันโค้กเป็นผู้นำตลาดน้ำอัดลม โดยมีคอร์ปอเรตแชร์ 54% เป๊ปซี่มีส่วนแบ่งลดลงเหลือ 35-37% แต่ในตลาดน้ำดำเป๊ปซี่เป็นผู้นำมีส่วนแบ่ง 50% อันดับ 2 เป็นของแบรนด์โค้ก และอันดับ 3 บิ๊กโคล่ามีส่วนแบ่ง 16.6% ขณะที่เอสตั้งเป้าหมาย 3 ปีจะขึ้นเป็นผู้นำตลาดน้ำอัดลม และปีแรกขึ้นเป็นอันดับ 2 มีส่วนแบ่ง 25% หรือมีรายได้ 8,000 ล้านบาท