โค้กอัดหนักในรอบหลายปี ทุ่ม 1,400 ล้านบาทขยายกำลังการผลิต หวังยึดบัลลังก์น้ำดำมูลค่า 43,000 ล้านบาทต่อได้ ล่าสุดไทยน้ำทิพย์บุกลาวเต็มสูบ ตั้งโรงงานร่วมทุนด้วยเม็ดเงินกว่า 1,200 ล้านใน 5 ปีนี้
นายอาร์ชวัส เจริญศิลป์ ผู้อำนวยการองค์กรสัมพันธ์และการสื่อสาร บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ทำตลาดและเจ้าของน้ำอัดลม โค้ก แฟนต้า สไปรท์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การแข่งขันของตลาดน้ำอัดลมมีการขยายตัวมากขึ้น ทางบริษัทแม่จึงพร้อมสนับสนุนและให้ไทยทำแผนลงทุนตั้งแต่เดือน มิ.ย. 55-มิ.ย. 58 ด้วยงบกว่า 1,400 ล้านบาท สูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา เพื่อขยายกำลังการผลิตเครื่องดื่มในไทย ทั้งเครื่องดื่มน้ำอัดลม และไม่อัดลม รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ปรับเพิ่มระบบการให้บริการ วางระบบขนส่งใหม่รองรับการขยายตลาดน้ำดื่มในไทยที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง และรักษาผู้นำตลาดน้ำอัดลมในไทยต่อไป โดยการขยายการลงทุนในครั้งนี้สนใจขยายกำลังการผลิตในโรงงานปัจจุบันที่ปทุมธานี และรังสิตด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนของประเทศลาว ในเดือน พ.ย.นี้บริษัทไทยน้ำทิพย์ ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มโค้กยังได้ร่วมทุนกับบริษัท พีที คอนสตรัคชั่น จำกัด เพื่อจัดตั้งบริษัท ลาว โคคา-โคลา บอทลิ่ง จำกัด ใช้เงินลงทุนรวม 40 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,200 ล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้า แบ่งสัดส่วนเป็น ไทยน้ำทิพย์ถือหุ้น 70% และพีที คอนสตรัคชั่น 30% เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของโคคา โคลา ในลาว ซึ่งระยะแรกจะขนส่งสินค้าเข้ามาทำตลาดในไทย และมีแผนสร้างโรงานในลาว คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 57 มีการจ้างงานในโรงงาน 70 คนที่เป็นคนลาวทั้งหมด และจ้างงานทางอ้อมกว่า 500 คน โดยตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในลาวมีโอกาสเติบโตได้มากในอนาคต
นายอาร์ชวัสกล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินงานปี 56 นั้นจะใช้แนวคิด “ต้องซ่า ต้องกล้า ต้องโค้ก” ภายใต้แคมเปญ “เปิดความสุขให้ชีวิต” ไปอีก 12 เดือน เน้นจับกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น และจะรุกกิจกรรมการตลาดตลอดทั้งปีเพื่อความใกลชิดกับผู้บริโภค และเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง มั่นใจว่ายอดขายของบริษัทในปีหน้าจะเติบโตมากกว่า 10%
ขณะที่ภาพรวมส่วนแบ่งการตลาดน้ำอัดลมของบริษัทในไทยช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา มีส่วนแบ่งที่ 55% หรือคิดเป็นยอดขายมากกว่า 20,000 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดมากสุดในรอบกว่า 40 ปี เป็นผลมาจากโค้กได้ลงทุนทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง และเปิดตัวสินค้าใหม่จำนวนมากเข้ามาสู่ตลาด โดยภาพรวมยอดขายของบริษัทในช่วงปีนี้คาดว่าจะโต 23% กลุ่มน้ำอัดลมทั้งโค้ก แฟนต้า สไปรท์ เติบโต 24% ส่วนเครื่องดื่มไม่อัดลมทั้งน้ำดื่มทิพย์ และน้ำผลไม้มินิทเมดเติบโต 14% ซึ่งยอดขายในไทยอยู่ในอันดับ 20 ของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาทั่วโลกที่มียอดขายสูงสุด ถือว่ามากสุดในรอบ 6 ปีจากเดิมอยู่อันดับ 22 จากปัจจุบันโคคา-โคลาได้ทำธุรกิจใน 207 ประเทศทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ภาพรวมตลาดน้ำอัดลมมีมูลค่ารวมประมาณ 43,000 ล้านบาท เติบโต 13% มากสุดในรอบหลายปีเพราะแข่งขันรุนแรงมากขึ้น และมีแบรนด์น้ำอัดลมรายใหม่เข้ามาในตลาด และคาดว่าในปี 56 ตลาดรวมจะเติบโต 7-8% เนื่องจากในปัจจุบันอัตราการบริโภคน้ำอัดลมของคนไทยอยูที่ 70 ขวดต่อคนต่อปี ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศเม็กซิโกที่มีการบริโภคสูงถึง 700 ขวดต่อคนต่อปี
นายอาร์ชวัส เจริญศิลป์ ผู้อำนวยการองค์กรสัมพันธ์และการสื่อสาร บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ทำตลาดและเจ้าของน้ำอัดลม โค้ก แฟนต้า สไปรท์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การแข่งขันของตลาดน้ำอัดลมมีการขยายตัวมากขึ้น ทางบริษัทแม่จึงพร้อมสนับสนุนและให้ไทยทำแผนลงทุนตั้งแต่เดือน มิ.ย. 55-มิ.ย. 58 ด้วยงบกว่า 1,400 ล้านบาท สูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา เพื่อขยายกำลังการผลิตเครื่องดื่มในไทย ทั้งเครื่องดื่มน้ำอัดลม และไม่อัดลม รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ปรับเพิ่มระบบการให้บริการ วางระบบขนส่งใหม่รองรับการขยายตลาดน้ำดื่มในไทยที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง และรักษาผู้นำตลาดน้ำอัดลมในไทยต่อไป โดยการขยายการลงทุนในครั้งนี้สนใจขยายกำลังการผลิตในโรงงานปัจจุบันที่ปทุมธานี และรังสิตด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนของประเทศลาว ในเดือน พ.ย.นี้บริษัทไทยน้ำทิพย์ ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มโค้กยังได้ร่วมทุนกับบริษัท พีที คอนสตรัคชั่น จำกัด เพื่อจัดตั้งบริษัท ลาว โคคา-โคลา บอทลิ่ง จำกัด ใช้เงินลงทุนรวม 40 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,200 ล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้า แบ่งสัดส่วนเป็น ไทยน้ำทิพย์ถือหุ้น 70% และพีที คอนสตรัคชั่น 30% เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของโคคา โคลา ในลาว ซึ่งระยะแรกจะขนส่งสินค้าเข้ามาทำตลาดในไทย และมีแผนสร้างโรงานในลาว คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 57 มีการจ้างงานในโรงงาน 70 คนที่เป็นคนลาวทั้งหมด และจ้างงานทางอ้อมกว่า 500 คน โดยตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในลาวมีโอกาสเติบโตได้มากในอนาคต
นายอาร์ชวัสกล่าวต่อว่า สำหรับแผนการดำเนินงานปี 56 นั้นจะใช้แนวคิด “ต้องซ่า ต้องกล้า ต้องโค้ก” ภายใต้แคมเปญ “เปิดความสุขให้ชีวิต” ไปอีก 12 เดือน เน้นจับกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น และจะรุกกิจกรรมการตลาดตลอดทั้งปีเพื่อความใกลชิดกับผู้บริโภค และเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง มั่นใจว่ายอดขายของบริษัทในปีหน้าจะเติบโตมากกว่า 10%
ขณะที่ภาพรวมส่วนแบ่งการตลาดน้ำอัดลมของบริษัทในไทยช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา มีส่วนแบ่งที่ 55% หรือคิดเป็นยอดขายมากกว่า 20,000 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดมากสุดในรอบกว่า 40 ปี เป็นผลมาจากโค้กได้ลงทุนทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง และเปิดตัวสินค้าใหม่จำนวนมากเข้ามาสู่ตลาด โดยภาพรวมยอดขายของบริษัทในช่วงปีนี้คาดว่าจะโต 23% กลุ่มน้ำอัดลมทั้งโค้ก แฟนต้า สไปรท์ เติบโต 24% ส่วนเครื่องดื่มไม่อัดลมทั้งน้ำดื่มทิพย์ และน้ำผลไม้มินิทเมดเติบโต 14% ซึ่งยอดขายในไทยอยู่ในอันดับ 20 ของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาทั่วโลกที่มียอดขายสูงสุด ถือว่ามากสุดในรอบ 6 ปีจากเดิมอยู่อันดับ 22 จากปัจจุบันโคคา-โคลาได้ทำธุรกิจใน 207 ประเทศทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ภาพรวมตลาดน้ำอัดลมมีมูลค่ารวมประมาณ 43,000 ล้านบาท เติบโต 13% มากสุดในรอบหลายปีเพราะแข่งขันรุนแรงมากขึ้น และมีแบรนด์น้ำอัดลมรายใหม่เข้ามาในตลาด และคาดว่าในปี 56 ตลาดรวมจะเติบโต 7-8% เนื่องจากในปัจจุบันอัตราการบริโภคน้ำอัดลมของคนไทยอยูที่ 70 ขวดต่อคนต่อปี ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศเม็กซิโกที่มีการบริโภคสูงถึง 700 ขวดต่อคนต่อปี