ASTVผู้จัดการรายวัน - เสริมสุขคลอดเครื่องดื่มเอส น้ำสีสตรอเบอร์รีตัวแรก ท้าชิงบัลลังก์แฟนต้า-มิรินด้า ปั๊มบรรจุภัณฑ์กระป๋อง ชูราคา 14 บาทเท่าบิ๊กโคล่า ทะลวงช่องทางร้านค้า ตู้แช่ เร่งกำลังผลิตโรงงาน หวังออกสินค้าครบพอร์ตลุยตลาดสี9,500 ล้านบาทเต็มสูบ ตั้งเป้า 3 ปีผงาดอันดับ 1 ตลาดน้ำอัดลม
แหล่งข่าวจากวงการเครื่องดื่มเปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวของบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) หลังจากเปิดได้ตัวเครื่องดื่มเอส โคล่า ไปเมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า ล่าสุดทางเสริมสุขได้รุกตลาดต่อนเนื่องด้วยการเปิดตัวน้ำสีตัวแรก เป็นน้ำรสสตรอเบอร์รี ภายใต้แบรนด์เอส ในรูปแบบบรรจุภัณฑ์กระป๋องเป็นแพกเกจแรก ลงตลาดในช่องทางเทรดิชันนัลเทรด
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีขนาด 325 มล. วางราคาจำหน่าย 14 บาท เท่ากับบิ๊ก โคล่า โดยถือว่าเป็นน้ำสีตัวแรกของเสริมสุข หลังจากรุกตลาดน้ำดำอย่างหนักในช่วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การที่เสริมสุขเปิดตัวน้ำสีลงช่องทางเทรดิชันนัลเทรดก่อน เนื่องจากเป็นช่องทางที่เสริมสุขมีความเชี่ยวชาญและมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับร้านอาหารและร้านค้าปลีกรายย่อย ตู้แช่ ซึ่งฐานจำนวนร้านค้าทั่วไป 2 แสนร้านค้าทั่วประเทศ นอกจากนี้ ที่ผ่านมาเสริมสุขยังทำโปรโมชันในช่องทางร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการทดลองชิม และเกิดการซื้อซ้ำ
ด้านแหล่งข่าวจากบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากเปิดตัวน้ำสีรสสตรอเบอร์รีตัวแรก บริษัทจะทยอยเปิดตัวน้ำสีอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น น้ำส้ม น้ำเขียว ฯลฯ ซึ่งขณะนี้ทางโรงงานกำลังเร่งที่จะเปิดตัวน้ำสีตัวอื่นลงตลาดให้ครอบคลุมทุกบรรจุภัณฑ์ และหากเปิดครบจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง โดยเป้าหมายของน้ำอัดลมเอส โคล่าต้องการมีส่วนแบ่ง 25% หรือขึ้นเป็นอันดับ 2 ในปีหน้า
สภาพตลาดน้ำอัดลมมูลค่า 3.8 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นน้ำสีมูลค่า 7,600-9,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 20-25% มีอัตราการเติบโต 1% โดยปัจจุบันแฟนต้าจากค่ายน้ำอัดลมโค้กเป็นผู้นำตลาด มีส่วนแบ่ง 75% ที่เหลือกว่า 20% เป็นของมิรินด้าจากค่ายเป๊ปซี่ ส่วนด้านการแข่งขันของตลาดน้ำสี ปกติจะแข่งขันในช่วงหน้าร้อน โดยเปิดตัวรสชาติใหม่เฉพาะช่วงฤดูร้อนเพื่อเป็นการสร้างสีสันในช่วงไฮซีซันของเครื่องดื่มน้ำอัดลม
ปัจจุบันคอร์ปอเรตแชร์เป๊ปซี่เป็นอันดับ 2 มีส่วนแบ่ง 35-37% จากมูลค่าตลาดน้ำอัดลม 38,500 ล้านบาท ขณะที่น้ำดำเป๊ปซี่เป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 50% หรือมูลค่า 30,800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 75-80% ขณะที่โค้ก คอร์ปอเรตแชร์ 54% ส่วนบิ๊ก โคล่ามีส่วนแบ่ง 16.6% และสิ้นปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 18% ขณะที่เอส โคล่า ตั้งเป้า 3 ปีขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของตลาดน้ำอัดลม
แหล่งข่าวจากวงการเครื่องดื่มเปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวของบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) หลังจากเปิดได้ตัวเครื่องดื่มเอส โคล่า ไปเมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า ล่าสุดทางเสริมสุขได้รุกตลาดต่อนเนื่องด้วยการเปิดตัวน้ำสีตัวแรก เป็นน้ำรสสตรอเบอร์รี ภายใต้แบรนด์เอส ในรูปแบบบรรจุภัณฑ์กระป๋องเป็นแพกเกจแรก ลงตลาดในช่องทางเทรดิชันนัลเทรด
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีขนาด 325 มล. วางราคาจำหน่าย 14 บาท เท่ากับบิ๊ก โคล่า โดยถือว่าเป็นน้ำสีตัวแรกของเสริมสุข หลังจากรุกตลาดน้ำดำอย่างหนักในช่วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การที่เสริมสุขเปิดตัวน้ำสีลงช่องทางเทรดิชันนัลเทรดก่อน เนื่องจากเป็นช่องทางที่เสริมสุขมีความเชี่ยวชาญและมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับร้านอาหารและร้านค้าปลีกรายย่อย ตู้แช่ ซึ่งฐานจำนวนร้านค้าทั่วไป 2 แสนร้านค้าทั่วประเทศ นอกจากนี้ ที่ผ่านมาเสริมสุขยังทำโปรโมชันในช่องทางร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการทดลองชิม และเกิดการซื้อซ้ำ
ด้านแหล่งข่าวจากบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากเปิดตัวน้ำสีรสสตรอเบอร์รีตัวแรก บริษัทจะทยอยเปิดตัวน้ำสีอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น น้ำส้ม น้ำเขียว ฯลฯ ซึ่งขณะนี้ทางโรงงานกำลังเร่งที่จะเปิดตัวน้ำสีตัวอื่นลงตลาดให้ครอบคลุมทุกบรรจุภัณฑ์ และหากเปิดครบจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง โดยเป้าหมายของน้ำอัดลมเอส โคล่าต้องการมีส่วนแบ่ง 25% หรือขึ้นเป็นอันดับ 2 ในปีหน้า
สภาพตลาดน้ำอัดลมมูลค่า 3.8 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นน้ำสีมูลค่า 7,600-9,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 20-25% มีอัตราการเติบโต 1% โดยปัจจุบันแฟนต้าจากค่ายน้ำอัดลมโค้กเป็นผู้นำตลาด มีส่วนแบ่ง 75% ที่เหลือกว่า 20% เป็นของมิรินด้าจากค่ายเป๊ปซี่ ส่วนด้านการแข่งขันของตลาดน้ำสี ปกติจะแข่งขันในช่วงหน้าร้อน โดยเปิดตัวรสชาติใหม่เฉพาะช่วงฤดูร้อนเพื่อเป็นการสร้างสีสันในช่วงไฮซีซันของเครื่องดื่มน้ำอัดลม
ปัจจุบันคอร์ปอเรตแชร์เป๊ปซี่เป็นอันดับ 2 มีส่วนแบ่ง 35-37% จากมูลค่าตลาดน้ำอัดลม 38,500 ล้านบาท ขณะที่น้ำดำเป๊ปซี่เป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 50% หรือมูลค่า 30,800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 75-80% ขณะที่โค้ก คอร์ปอเรตแชร์ 54% ส่วนบิ๊ก โคล่ามีส่วนแบ่ง 16.6% และสิ้นปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 18% ขณะที่เอส โคล่า ตั้งเป้า 3 ปีขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของตลาดน้ำอัดลม