“บีโอไอ” เผยยอดขอลงทุน 11 เดือนใกล้แตะ 1 ล้านล้านบาทมั่นใจกลุ่มทุนเล็งใช้ไทยเป็นศูนย์กลางรุกตลาดอาเซียน
นายประเสริฐ บุญชัยสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้รายงานภาพรวมการลงทุนในช่วง 11 เดือน (มกราคม-พฤศจิกายน 2555) ซึ่งมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกระจายอยู่ในทุกกลุ่มกิจการ โดยมีโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,943 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 936,200 ล้านบาท โครงการปรับเพิ่มขึ้น ร้อยละ 24.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่มูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 64.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีมูลค่าอยู่ที่ 568,900 ล้านบาท โดยการขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 11 เดือนปีนี้จะก่อให้เกิดการจ้างแรงงานไม่ต่ำกว่า 245,073 คน
ทั้งนี้ กลุ่มกิจการที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสูงสุด ได้แก่ กิจการบริการ และสาธารณูปโภค มีทั้งสิ้น 519 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 280,600 ล้านบาท รองมาเป็นผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง 492 โครงการ เงินลงทุน 214,700 ล้านบาท กิจการเคมี กระดาษ และพลาสติก 254 โครงการ เงินลงทุน 186,500 ล้านบาท อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 297 โครงการ เงินลงทุน 118,900 ล้านบาท เกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร 250 โครงการ เงินลงทุน 68,000 ล้านบาท ตามลำดับ
ด้านรูปแบบการลงทุนส่วนใหญ่จะกระจายอยู่ในกิจการขนาดเล็กที่มีเงินลงทุนไม่เกิน 20 ล้านบาท ไปจนถึงกิจการขนาดใหญ่ ที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท โดยกิจการขนาดใหญ่ที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 11 เดือนนี้ มีทั้งสิ้น 171 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 644,100 ล้านบาท อาทิ กิจการขนส่งทางอากาศ ยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ พลังงานทดแทน ศูนย์กระจายสินค้า เป็นต้น
“ความสนใจของนักลงทุนต่อประเทศไทยมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตลอดตั้งแต่ช่วงต้นปี 2555 ซึ่งส่วนสำคัญเชื่อว่ามาจากความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของประเทศไทย รวมถึงความพร้อมที่ไทยจะก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาค ภายหลังการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอนาคต” นายประเสริฐกล่าว
นายประเสริฐ บุญชัยสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้รายงานภาพรวมการลงทุนในช่วง 11 เดือน (มกราคม-พฤศจิกายน 2555) ซึ่งมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกระจายอยู่ในทุกกลุ่มกิจการ โดยมีโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,943 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 936,200 ล้านบาท โครงการปรับเพิ่มขึ้น ร้อยละ 24.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่มูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 64.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีมูลค่าอยู่ที่ 568,900 ล้านบาท โดยการขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 11 เดือนปีนี้จะก่อให้เกิดการจ้างแรงงานไม่ต่ำกว่า 245,073 คน
ทั้งนี้ กลุ่มกิจการที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสูงสุด ได้แก่ กิจการบริการ และสาธารณูปโภค มีทั้งสิ้น 519 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 280,600 ล้านบาท รองมาเป็นผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง 492 โครงการ เงินลงทุน 214,700 ล้านบาท กิจการเคมี กระดาษ และพลาสติก 254 โครงการ เงินลงทุน 186,500 ล้านบาท อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 297 โครงการ เงินลงทุน 118,900 ล้านบาท เกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร 250 โครงการ เงินลงทุน 68,000 ล้านบาท ตามลำดับ
ด้านรูปแบบการลงทุนส่วนใหญ่จะกระจายอยู่ในกิจการขนาดเล็กที่มีเงินลงทุนไม่เกิน 20 ล้านบาท ไปจนถึงกิจการขนาดใหญ่ ที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท โดยกิจการขนาดใหญ่ที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 11 เดือนนี้ มีทั้งสิ้น 171 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 644,100 ล้านบาท อาทิ กิจการขนส่งทางอากาศ ยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ พลังงานทดแทน ศูนย์กระจายสินค้า เป็นต้น
“ความสนใจของนักลงทุนต่อประเทศไทยมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตลอดตั้งแต่ช่วงต้นปี 2555 ซึ่งส่วนสำคัญเชื่อว่ามาจากความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของประเทศไทย รวมถึงความพร้อมที่ไทยจะก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาค ภายหลังการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอนาคต” นายประเสริฐกล่าว