ปิดฉากการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ยื่นสมุดปกขาวถึงรัฐบาล แนะยึดหลักพอเพียงบริหารประเทศ ทำประชานิยมแค่ช่วงสั้นๆ หวั่นเพิ่มหนี้สาธารณะทำชาติพัง ยันขึ้นค่าแรง 300 บาทปีหน้า ธุรกิจอ่วม ต้นทุนเพิ่ม รายได้หด ปลดคนงาน อัด 27 มาตรการที่ออกมา ยังไม่โดนใจ เตรียมถก กกร. วันนี้ หามาตรการเพิ่ม หลังผลโพลระบุธุรกิจยังไม่พร้อม
นายฉัตรชัย บุญรัตน์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยนำเสนอสมุดปกขาวที่ได้จากการประชุมสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศให้แก่รัฐบาล โดยได้เสนอหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นทางออกของการแก้ปัญหาต่างๆ ให้แก่เศรษฐกิจไทย เพราะการพัฒนาเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่ยั่งยืน และมีการใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย จึงควรมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาในระยะยาวด้วยการตระหนักถึงการเติบโตและดูแลธรรมชาติควบคู่กันไป ซึ่งได้มีการเสนอให้ยึดหลักการประสานการทำงานและใช้งบประมาณแบบบูรณาการร่วมกัน เช่น การขุดถนน ร้อยสายโทรศัพท์ วางท่อประปา ควรจะทำไปพร้อมๆ กันไม่ใช่ต่างคนต่างทำ รวมทั้งจะต้องเดินหน้าลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน
ทั้งนี้ หอการค้าไทยยังเห็นว่าการใช้นโยบายประชานิยมควรส่งเสริมเพียงชั่วคราวและทำเมื่อจำเป็นเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อฐานะการเงินของประเทศ และควรจะมุ่งเน้นการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ และเรียนภาษาที่ 3 เพิ่มเติม สร้างความสามัคคีของคนในชาติ การสร้างสมดุลของการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมตามแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว ตลอดจนการผลิตบุคลากรให้ตรงความต้องการของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะช่างฝีมือ พัฒนาคุณภาพครู และการพัฒนาเพิ่มทักษะของแรงงาน
ด้านนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวในการเป็นประธานปิดงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 30 และรับสมุดปกขาวผลสรุปและข้อเสนอแนะของการประชุมหอการค้าไทยว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนภาคเอกชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามแนวทางที่นำเสนอ โดยจะนำไปเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อกำหนดนโยบายต่อไป แต่ยืนยันได้ว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการสร้างความเข้มแข็งต่อระบบเศรษฐกิจไทย ทั้งการจัดการเรื่องน้ำ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและลอจิสติกส์เพื่อเพิ่มความสะดวกประชาชนและลดต้นทุนผู้ประกอบการ สนับสนุนเอสเอ็มอีและโอทอป เตรียมความพร้อมรับเออีซี และประสานความร่วมมือภาคเอกชน ผ่านคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ในปีหน้าก็จะเพิ่มความสำคัญต่อ กกร.ระดับจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมาได้ส่งเสริมแล้ว 115 โครงการจากที่ ครม.ได้เดินทางไปประชุมร่วมภาคเอกชน
วันเดียวกันนี้ นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้กล่าวถึงผลสำรวจหอการค้าไทยต่อมุมมองสถานการณ์เศรษฐกิจและมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท จากผู้เข้าร่วมและสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศว่า กลุ่มสำรวจระบุการปรับขึ้นค่าจ้างเป็นวันละ 300 บาท จะกระทบต่อธุรกิจมากทั้งต้นทุนเพิ่มขึ้น กำไรลดลง การจ้างงานลดหันมาใช้เครื่องจักรแทน และอาจต้องปรับราคาสินค้าตามมา รวมถึงต้องปิดกิจการ และยังเห็นว่า 27 มาตรการที่รัฐบาลออกมาบรรเทาผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้าง 300 บาทไม่ได้เป็นมาตรการที่น่าพอใจนัก โดยเกือบทั้งหมดได้คะแนนเฉลี่ยเกิน 5 เล็กน้อยจากเต็ม 10 คะแนน เช่น การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การลดภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับการเหมาช่วงการผลิต ปรับปรุงอัตราเก็บเงินสมทบ การลดอัตราเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม เป็นต้น พร้อมกับเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือในด้านเพิ่มผลผลิตภาคแรงงาน สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อการซื้อเครื่องจักรและลงทุนเพิ่ม ลดภาษีนำเข้าเครื่องจักร ส่งเสริมการลงทุนไปต่างประเทศ
นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า มาตรการรัฐที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการหลังขึ้นค่าจ้าง 300 บาทสะท้อนให้เห็นว่ามาตรการรัฐบาลยังไม่ตรงใจภาคเอกชน และกว่า 60% ของมาตรการไม่เห็นว่าจะช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้างได้จริง ซึ่งในวันที่ 19 พ.ย.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันเพื่อหารือถึงมาตรการช่วยเหลือเอกชนหลังปรับขึ้นค่าจ้าง เพราะส่วนใหญ่ยังมีความเห็นที่ไม่สอดคล้องกับภาครัฐ และเห็นว่ารัฐควรปรับปรุงมาตรการส่วนใหญ่เพื่อก่อประโยชน์สูงสุดต่อภาคเอกชน โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งเป็นธุรกิจสัดส่วน 98% จำนวนนี้ 74% ไม่เข้าถึงมาตรการที่รัฐบาลออกมา ซึ่งเอกชนเห็นว่าก่อนรัฐบาลจะประกาศใช้ก็ควรมีการหารือภาคเอกชนก่อน และหลังจากได้ข้อสรุปก็จะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
นายฉัตรชัย บุญรัตน์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยนำเสนอสมุดปกขาวที่ได้จากการประชุมสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศให้แก่รัฐบาล โดยได้เสนอหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นทางออกของการแก้ปัญหาต่างๆ ให้แก่เศรษฐกิจไทย เพราะการพัฒนาเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่ยั่งยืน และมีการใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย จึงควรมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาในระยะยาวด้วยการตระหนักถึงการเติบโตและดูแลธรรมชาติควบคู่กันไป ซึ่งได้มีการเสนอให้ยึดหลักการประสานการทำงานและใช้งบประมาณแบบบูรณาการร่วมกัน เช่น การขุดถนน ร้อยสายโทรศัพท์ วางท่อประปา ควรจะทำไปพร้อมๆ กันไม่ใช่ต่างคนต่างทำ รวมทั้งจะต้องเดินหน้าลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน
ทั้งนี้ หอการค้าไทยยังเห็นว่าการใช้นโยบายประชานิยมควรส่งเสริมเพียงชั่วคราวและทำเมื่อจำเป็นเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อฐานะการเงินของประเทศ และควรจะมุ่งเน้นการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ และเรียนภาษาที่ 3 เพิ่มเติม สร้างความสามัคคีของคนในชาติ การสร้างสมดุลของการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมตามแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว ตลอดจนการผลิตบุคลากรให้ตรงความต้องการของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะช่างฝีมือ พัฒนาคุณภาพครู และการพัฒนาเพิ่มทักษะของแรงงาน
ด้านนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวในการเป็นประธานปิดงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 30 และรับสมุดปกขาวผลสรุปและข้อเสนอแนะของการประชุมหอการค้าไทยว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนภาคเอกชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามแนวทางที่นำเสนอ โดยจะนำไปเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อกำหนดนโยบายต่อไป แต่ยืนยันได้ว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการสร้างความเข้มแข็งต่อระบบเศรษฐกิจไทย ทั้งการจัดการเรื่องน้ำ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและลอจิสติกส์เพื่อเพิ่มความสะดวกประชาชนและลดต้นทุนผู้ประกอบการ สนับสนุนเอสเอ็มอีและโอทอป เตรียมความพร้อมรับเออีซี และประสานความร่วมมือภาคเอกชน ผ่านคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ในปีหน้าก็จะเพิ่มความสำคัญต่อ กกร.ระดับจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมาได้ส่งเสริมแล้ว 115 โครงการจากที่ ครม.ได้เดินทางไปประชุมร่วมภาคเอกชน
วันเดียวกันนี้ นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้กล่าวถึงผลสำรวจหอการค้าไทยต่อมุมมองสถานการณ์เศรษฐกิจและมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท จากผู้เข้าร่วมและสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศว่า กลุ่มสำรวจระบุการปรับขึ้นค่าจ้างเป็นวันละ 300 บาท จะกระทบต่อธุรกิจมากทั้งต้นทุนเพิ่มขึ้น กำไรลดลง การจ้างงานลดหันมาใช้เครื่องจักรแทน และอาจต้องปรับราคาสินค้าตามมา รวมถึงต้องปิดกิจการ และยังเห็นว่า 27 มาตรการที่รัฐบาลออกมาบรรเทาผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้าง 300 บาทไม่ได้เป็นมาตรการที่น่าพอใจนัก โดยเกือบทั้งหมดได้คะแนนเฉลี่ยเกิน 5 เล็กน้อยจากเต็ม 10 คะแนน เช่น การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การลดภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับการเหมาช่วงการผลิต ปรับปรุงอัตราเก็บเงินสมทบ การลดอัตราเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม เป็นต้น พร้อมกับเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือในด้านเพิ่มผลผลิตภาคแรงงาน สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อการซื้อเครื่องจักรและลงทุนเพิ่ม ลดภาษีนำเข้าเครื่องจักร ส่งเสริมการลงทุนไปต่างประเทศ
นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า มาตรการรัฐที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการหลังขึ้นค่าจ้าง 300 บาทสะท้อนให้เห็นว่ามาตรการรัฐบาลยังไม่ตรงใจภาคเอกชน และกว่า 60% ของมาตรการไม่เห็นว่าจะช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้างได้จริง ซึ่งในวันที่ 19 พ.ย.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันเพื่อหารือถึงมาตรการช่วยเหลือเอกชนหลังปรับขึ้นค่าจ้าง เพราะส่วนใหญ่ยังมีความเห็นที่ไม่สอดคล้องกับภาครัฐ และเห็นว่ารัฐควรปรับปรุงมาตรการส่วนใหญ่เพื่อก่อประโยชน์สูงสุดต่อภาคเอกชน โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งเป็นธุรกิจสัดส่วน 98% จำนวนนี้ 74% ไม่เข้าถึงมาตรการที่รัฐบาลออกมา ซึ่งเอกชนเห็นว่าก่อนรัฐบาลจะประกาศใช้ก็ควรมีการหารือภาคเอกชนก่อน และหลังจากได้ข้อสรุปก็จะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป