จับตาราคาน้ำมันโลกปีหน้า คาดยังคงผันผวน และทรงตัวในระดับสูง ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 105 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และอาจเห็นราคาทะลุ 130 เหรียญสหรัฐในต้นปีหน้าหากเหตุการณ์ไม่สงบในตะวันออกกลาง นักวิชาการจี้รัฐเร่งปรับโครงสร้างราคาพลังงานใหม่เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง หลังจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนและกองทุนฯ น้ำมันเบนซินไปอุดหนุนดีเซลและแอลพีจี
นายสุรงค์ บูลกุล ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงทิศทางและแนวโน้มสถานการณ์น้ำมันของโลกในปี 2556 ในงาน The Annual Petroleum Outlook Forum “ถอดรหัส” ราคาน้ำมันโลกปี 2013 และเจาะลึกโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจัดขึ้นร่วมกับทีมวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันกลุ่ม ปตท. หรือ PRISM ว่า ทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในปี 2556 คาดว่าจะยังคงผันผวนและทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 105 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ใกล้เคียงกับราคาน้ำมันดิบในปีนี้ที่ 105-115 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณการผลิตน้ำมันมีเพียงพอต่อความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ 90 ล้านบาร์เรลต่อวัน และปัจจัยเศรษฐกิจทั้งอียูและผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ จะมีผลต่อราคาน้ำมันด้วย
โดยไตรมาส 1/2556 ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสเคลื่อนไหวเกินกรอบที่คาดการณ์ไว้ได้หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น เช่นเหตุการณ์การเมืองในตะวันออกกลางอาจดันให้ราคาน้ำมันทะลุ 130 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลได้ ซึ่งเมื่อเหตุการณ์สงบราคาจะอ่อนตัวลงมา ก่อนขยับขึ้นไปในช่วงไตรมาส 3-4/2556 ขณะที่ความต้องการใช้พลังงานในประเทศไทยจะโตขึ้นประมาณ 4% โดยทิศทางราคาดีเซลในตลาดโลกนับวันจะสูงขึ้นเนื่องจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ประเทศไทยตรึงราคาขายดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร หากรัฐยังตรึงราคาเช่นนี้จะทำให้การใช้ดีเซลโตขึ้นเรื่อยๆ หากราคาดีเซลตลาดโลกขึ้นอีก 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล กองทุนน้ำมันฯ จะเอาเงินที่ไหนไปชดเชย เพราะรัฐเตรียมยกเลิกเบนซิน 91 ทำให้ไม่สามารถจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ได้อีก เช่นเดียวกับแอลพีจีที่มีการใช้ในภาคขนส่งและครัวเรือนเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาถูก
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวยอมรับว่า ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศยังไม่เหมาะสม เนื่องจากราคายังไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเบนซิน 91 และ 95 มีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในอัตราที่สูง ขณะที่แก๊สโซฮอล์และก๊าซแอลพีจีได้รับเงินอุดหนุนจากกองทุนฯ โดยราคาเบนซิน 95 สูงถึงลิตรละ 49 บาท เพื่อให้คุ้มกับค่าใช้จ่ายเนื่องจากมียอดการใช้เบนซิน 95 เพียง 1 แสนลิตรต่อวัน ซึ่งเห็นว่าเป็นระดับราคาที่สูงเกินไป ขณะที่เบนซิน 91 มีการใช้วันละ 8 ล้านลิตร ค่าการตลาดเฉลี่ย 1.50 บาทต่อลิตรเป็นระดับที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระทรวงพลังงานกำลังศึกษาปรับโครงสร้างราคาพลังงานเพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยเฉพาะราคาแอลพีจีที่กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายชดเชยถึงเดือนละ 4 พันล้านบาทจากการนำเข้าแอลพีจีเดือนละ 1 แสนตัน โดยทางกลุ่มโรงกลั่นฯ ได้เสนอให้ปรับราคาขายหน้าโรงกลั่นให้เป็นราคาตลาดโลก จากที่ปัจจุบันราคา 76% อิงราคาตลาดโลก และ 24% อิงราคาควบคุมในประเทศ หากรัฐปรับสูตรราคาขายหน้าโรงกลั่นให้เหมาะสมจะมีแอลพีจีจากโรงกลั่นมาขายตลาดได้เพิ่มอีกหลายหมื่นตันต่อเดือน จากปัจจุบันมีประมาณ 8 หมื่นตันต่อเดือน
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า โครงสร้างราคาน้ำมันของไทยมีการเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อนในอัตราสูง มีการเก็บภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และกองทุนเพื่อการส่งเสริมและอนุรักษ์พลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 เสียภาษีรวมกองทุนฯ จะอยู่ในอัตราประมาณ 16-17 บาทต่อลิตร คิดเป็นประมาณ 38-40% ของราคาขายปลีก ในขณะที่น้ำมันดีเซลเสียภาษีสรรพสามิตในอัตราที่ต่ำเพียงครึ่งสตางค์ต่อลิตร แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างราคาน้ำมันบิดเบือน และการไม่เก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลตั้งแต่เดือนเมษายน 2554 จนถึงปัจจุบันทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้รวมประมาณ 1.68 แสนล้านบาท
ซึ่งโครงสร้างราคาน้ำมันใหม่ควรจะมีการพิจารณาจัดเก็บภาษีสรรพสามิตทั้งในส่วนดีเซล และเบนซินไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะมีส่วนที่สร้างผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมพอๆ กัน และต้องแสดงให้เห็นว่าดีเซลไม่ใช่น้ำมันสำหรับคนจนอีกต่อไปเพราะรถหรูก็มีการใช้ดีเซลกันมากไม่ควรอุดหนุน ส่วนกองทุนน้ำมันฯ ต้องไม่นำมาอุดหนุนราคาพลังงาน โดยมีการเก็บเงินในระดับประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาทก็เพียงพอแล้ว
นายสุรงค์ บูลกุล ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงทิศทางและแนวโน้มสถานการณ์น้ำมันของโลกในปี 2556 ในงาน The Annual Petroleum Outlook Forum “ถอดรหัส” ราคาน้ำมันโลกปี 2013 และเจาะลึกโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจัดขึ้นร่วมกับทีมวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันกลุ่ม ปตท. หรือ PRISM ว่า ทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในปี 2556 คาดว่าจะยังคงผันผวนและทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 105 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ใกล้เคียงกับราคาน้ำมันดิบในปีนี้ที่ 105-115 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณการผลิตน้ำมันมีเพียงพอต่อความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ 90 ล้านบาร์เรลต่อวัน และปัจจัยเศรษฐกิจทั้งอียูและผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ จะมีผลต่อราคาน้ำมันด้วย
โดยไตรมาส 1/2556 ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสเคลื่อนไหวเกินกรอบที่คาดการณ์ไว้ได้หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น เช่นเหตุการณ์การเมืองในตะวันออกกลางอาจดันให้ราคาน้ำมันทะลุ 130 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลได้ ซึ่งเมื่อเหตุการณ์สงบราคาจะอ่อนตัวลงมา ก่อนขยับขึ้นไปในช่วงไตรมาส 3-4/2556 ขณะที่ความต้องการใช้พลังงานในประเทศไทยจะโตขึ้นประมาณ 4% โดยทิศทางราคาดีเซลในตลาดโลกนับวันจะสูงขึ้นเนื่องจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ประเทศไทยตรึงราคาขายดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร หากรัฐยังตรึงราคาเช่นนี้จะทำให้การใช้ดีเซลโตขึ้นเรื่อยๆ หากราคาดีเซลตลาดโลกขึ้นอีก 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล กองทุนน้ำมันฯ จะเอาเงินที่ไหนไปชดเชย เพราะรัฐเตรียมยกเลิกเบนซิน 91 ทำให้ไม่สามารถจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ได้อีก เช่นเดียวกับแอลพีจีที่มีการใช้ในภาคขนส่งและครัวเรือนเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาถูก
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวยอมรับว่า ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศยังไม่เหมาะสม เนื่องจากราคายังไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเบนซิน 91 และ 95 มีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในอัตราที่สูง ขณะที่แก๊สโซฮอล์และก๊าซแอลพีจีได้รับเงินอุดหนุนจากกองทุนฯ โดยราคาเบนซิน 95 สูงถึงลิตรละ 49 บาท เพื่อให้คุ้มกับค่าใช้จ่ายเนื่องจากมียอดการใช้เบนซิน 95 เพียง 1 แสนลิตรต่อวัน ซึ่งเห็นว่าเป็นระดับราคาที่สูงเกินไป ขณะที่เบนซิน 91 มีการใช้วันละ 8 ล้านลิตร ค่าการตลาดเฉลี่ย 1.50 บาทต่อลิตรเป็นระดับที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระทรวงพลังงานกำลังศึกษาปรับโครงสร้างราคาพลังงานเพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยเฉพาะราคาแอลพีจีที่กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายชดเชยถึงเดือนละ 4 พันล้านบาทจากการนำเข้าแอลพีจีเดือนละ 1 แสนตัน โดยทางกลุ่มโรงกลั่นฯ ได้เสนอให้ปรับราคาขายหน้าโรงกลั่นให้เป็นราคาตลาดโลก จากที่ปัจจุบันราคา 76% อิงราคาตลาดโลก และ 24% อิงราคาควบคุมในประเทศ หากรัฐปรับสูตรราคาขายหน้าโรงกลั่นให้เหมาะสมจะมีแอลพีจีจากโรงกลั่นมาขายตลาดได้เพิ่มอีกหลายหมื่นตันต่อเดือน จากปัจจุบันมีประมาณ 8 หมื่นตันต่อเดือน
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า โครงสร้างราคาน้ำมันของไทยมีการเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อนในอัตราสูง มีการเก็บภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และกองทุนเพื่อการส่งเสริมและอนุรักษ์พลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 เสียภาษีรวมกองทุนฯ จะอยู่ในอัตราประมาณ 16-17 บาทต่อลิตร คิดเป็นประมาณ 38-40% ของราคาขายปลีก ในขณะที่น้ำมันดีเซลเสียภาษีสรรพสามิตในอัตราที่ต่ำเพียงครึ่งสตางค์ต่อลิตร แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างราคาน้ำมันบิดเบือน และการไม่เก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลตั้งแต่เดือนเมษายน 2554 จนถึงปัจจุบันทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้รวมประมาณ 1.68 แสนล้านบาท
ซึ่งโครงสร้างราคาน้ำมันใหม่ควรจะมีการพิจารณาจัดเก็บภาษีสรรพสามิตทั้งในส่วนดีเซล และเบนซินไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะมีส่วนที่สร้างผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมพอๆ กัน และต้องแสดงให้เห็นว่าดีเซลไม่ใช่น้ำมันสำหรับคนจนอีกต่อไปเพราะรถหรูก็มีการใช้ดีเซลกันมากไม่ควรอุดหนุน ส่วนกองทุนน้ำมันฯ ต้องไม่นำมาอุดหนุนราคาพลังงาน โดยมีการเก็บเงินในระดับประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาทก็เพียงพอแล้ว