สนพ.ประกาศปรับราคาแอลพีจี ภาคอุตสาหกรรมประจำเดือน ก.ย.55 อีก 0.57 บาทต่อกิโลกรัม ชนเพดานราคาที่ กบง.กำหนดไว้ 30.13 บาทต่อกิโลกรัม เหตุราคาแอลพีจีตลาดโลกถีบตัวสูงขึ้นถึง 954 เหรียญสหรัฐต่อตัน
นายสุชาลี สุมามาลย์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายปิโตรเลียมและปิโตรเคมี สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ) เปิดเผยว่า สนพ.จะปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมอีก 0.57 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ในเดือนกันยายนนี้ จากเดิม 29.56 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 30.13 บาท ต่อกิโลกรัม เนื่องจากราคาแอลพีจีในตลาดโลกในเดือนกันยายนปรับตัวสูงขึ้นจาก 775 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 954 เหรียญต่อตัน ซึ่งมีผลทำให้แอลพีจีมีต้นทุนเพิ่มขึ้นเป็น 34 บาทต่อกิโลกรัม
ทั้งนี้ การปรับราคาดังกล่าวถือเป็นการปรับขึ้นตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มอบหมายให้ สนพ.สามารถประกาศปรับราคาแอลพีจีให้สะท้อนราคาต้นทุนก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นได้ประจำทุกเดือน แต่ต้องไม่เกิน 30.13 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาสูงสุดตามแนวทางการลอยตัวแอลพีจี ภาคอุตสาหกรรม ของกระทรวงพลังงาน ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554
การปรับขึ้นราคาแอลพีจีตลาดโลกในครั้งนี้ ปรับตามราคาน้ำมันดิบและเป็นช่วงที่มีความต้องการใช้ก๊าซ LPG สูง ซึ่งหากราคาแอลพีจีตลาดโลกมีการปรับขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง จนจำเป็นต้องปรับราคาแอลพีจี สูงกว่า 30.13 บาทต่อกิโลกรัม ต้องมีการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวว่า การที่รัฐบาลปรับโครงสร้างราคาแอลพีจี ภาคอุตสาหกรรม ให้เป็นไปตามกลไกของตลาด อาจจะส่งผลเสียในอนาคตได้ เนื่องจากผู้ประกอบการไม่สามารถที่จะควบคุมต้นทุนการผลิตได้แน่นอน เนื่องจากแอลพีจี ภาคอุตสาหกรรม อิงราคาแอลพีจีที่นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และมีราคาที่ไม่แน่นอน ซึ่งอาจทำให้ศักยภาพในการแข่งขันกับตลาดโลกลดลง โดยเฉพาะ AEC ที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ เพราะกลุ่มประเทศสมาชิก โดยเฉพาะ มาเลเชีย นำแอลพีจีที่มีอยู่ในประเทศ มาใช้ในภาคอุตสาหกรรม ทำให้สามารถควมคุมราคาทุนได้ ในขณะที่ต้นทุนพลังงานของไทยต้องขึ้นลงตามกลไกตลาดโลก เมื่อเข้าสู่ตลาดเสรี AEC อาจทำให้ไทยเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน เพราะภาคอุตสาหกรรม มีต้นทุนด้านพลังงานที่มีราคาแพง
ดังนั้น รัฐบาลจะต้องปรับโครงสร้างราคาให้สะท้อนต้นทุนการผลิตในประเทศ และการนำเข้า โดยให้มีราคาเดียวกันทั้งภาคอุตสาหกรรม ขนส่ง และครัวเรือน ภายในปี 2557 โดยการปรับราคาควรปรับให้สะท้อนต้นทุนของแหล่งผลิตก๊าซ LPG โดยใช้วิธีเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักจากแหล่งจัดหาก๊าซทั้ง 3 แหล่ง คือ โรงแยกก๊าซ โรงกลั่นน้ำมัน และแอลพีจีนำเข้า