นักลงทุนจากยุโรปตบเท้าพบ รมว.อุตสาหกรรม ยาหอมพร้อมรุกลงทุนไทยมากขึ้น ในอนาคตหวังใช้ไทยเป็นฐานผลิตในอาเซียนรับตลาด AEC ปี 2558 หลังเศรษฐกิจยุโรปติดหล่ม
ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลัง สมาคมศูนย์ส่งเสริมธุรกิจยูโรเปียน-อาเซียน เข้าพบที่กระทรวงอุตสาหกรรม ว่า สมาคมได้หารือแนวโน้มการลงทุนในไทย โดยยืนยันว่านักลงทุนจากกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) จะมองไทยเป็นฐานการลงทุนในอาเซียนเพื่อที่จะรองรับตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 มากขึ้น ดังนั้นจึงต้องการให้ไทยเร่งพัฒนาบุคลากรต่างๆ รองรับ โดยเฉพาะแรงงาน กฎระเบียบต่างๆ
ทั้งนี้ นักลงทุนยังสอบถามสถานการณ์น้ำของไทย โดยเสนอแนะให้ไทยจัดทำข้อมูลสถานการณ์น้ำในรูปของข้อมูลข่าวสารให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่ข้อมูลเป็นลักษณะของฐานข้อมูลหรือเบตามากกว่า โดยเสนอว่าควรจะกำหนดระดับน้ำในแม่น้ำแต่ละแห่งให้ชัดเจนว่า ระดับคือเฝ้าระวัง เตือนภัย หรืออพยพ เพราะมีความสำคัญต่อการประกอบกิจการ
นายรูล์ฟ-ดีเตอร์ ดาเนียล ประธานสมาคมศูนย์ส่งเสริมธุรกิจยูโรเปียน-อาเซียน กล่าวว่า ยอมรับว่าเศรษฐกิจของยุโรปเติบโตช้าลง ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียขยายตัวดีขึ้นทำให้นักลงทุนยุโรปสนใจลงทุนในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะไทยที่น่าสนใจมาก เพราะคาดว่าจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการลงทุนของอาเซียน
“ต่อไปตลาดอาเซียนจะมีมากถึง 600 ล้านคน ดังนั้นไทยควรจะต้องปรับระเบียบที่จะทำให้เอื้อต่อการเข้ามาลงทุนให้เป็นมาตรฐานเดียวกับประเทศในภูมิภาค คือต้องทำให้มาลงทุนไทยก่อนค่อยไปที่อื่นไม่ใช่ทำให้ไปลงทุนที่อื่นจึงมาไทย” นายรูล์ฟ-ดีเตอร์กล่าว
นายปิเตอร์ วูล์ฟ กรรมการผู้จัดการของบีเอ็มดับเบิลยู แมนูแฟคเจอร์ริ่ง ประเทศไทย และประธานกลุ่มสนับสนุนธุรกิจยานยนต์ กล่าวว่า ต้องการให้รัฐบาลไทยประกาศโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่โดยเร็ว แต่ก็เข้าใจว่าการทำให้ถูกใจคนทุกคนคงเป็นไปได้ยาก ซึ่งก็ยอมรับแนวทางของไทยที่คำนึงถึงปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าเทคโนโลยี เช่นไฮบริด หรือพลังงานทางเลือก อย่างไรก็ตาม ในการหารือครั้งนี้ได้จัดทำข้อเสนอเพิ่มเติม คือ หากไทยจะต้องการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคเอเชีย ควรใช้มาตรการด้านภาษีเพื่อปรับพฤติกรรมผู้ใช้ยานพาหนะให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้รถยนต์แบบประหยัดพลังงานและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
