“ภาคีต้านโกง” จับมือ 42 องค์กรประกาศจุดยืน “วาระแห่งชาติ” ผ่านเวทีงานต้านทุจริตคอร์รัปชัน “ประมนต์” ชี้ผลงาน 1 ปี รบ.ปูยังสอบตก เนื่องจากนายกฯ ยังขาดความจริงจัง และความต่อเนื่องในการแก้ปัญหา แต่แนวคิดต้านคอร์รัปชันเริ่มดีขึ้น เชื่อจะมีแนวโน้มที่ลดลงได้ เตรียมเปิดโปงผ่านประเด็น “ตรวจแถวหมาเฝ้าบ้าน” พร้อมการชำแหละโครงการรับจำนำข้าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นได้ร่วมกับ 42 องค์กรภาคีจัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน โดยเริ่มเมื่อช่วงเช้าวันนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้แนวคิด รวมพลังเปลี่ยนประเทศไทย โดยสาระสำคัญของการจัดงานมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี บรรยายพิเศษหัวข้อ รวมพลังภาคธุรกิจ ต่อต้านคอร์รัปชั่ นายมีชัย วีระไวทยะ ผู้ก่อตั้งสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน บรรยายหัวข้อรวมพลังผลักดันการต่อต้านคอร์รัปชันให้เป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งแถลงการณ์เยาวชนไทย รวมพลังคนรุ่นใหม่ เปลี่ยนประเทศไทย 300-500 คน เพื่อรณรงค์ให้สังคมต่อสู้ปัญหาคอร์รัปชัน และเปลี่ยนแปลงประเทศให้ก้าวสู่สังคมใหม่
นอกจากนี้มีการแบ่งกลุ่มสัมมนาย่อยอีก 4 กลุ่ม เพื่อหารือถึงสถานการณ์ปัญหาและทางออกการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน โดยมีหัวข้อสำคัญคือ การจำนำพืชผลการเกษตร โดยเน้นโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลที่ใช้งบประมาณสูงถึงปีละ 400,000 ล้านบาท พร้อมทั้งมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นต้นเหตุของการเกิดทุจริตตามมามากมาย ทั้งการสวมสิทธิจำนำข้าวเกษตรกร การลักลอบนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาเข้าร่วมโครงการ การนำข้าวคุณภาพดีจากรัฐบาลไปเวียนเทียนขายและนำข้าวคุณภาพต่ำเข้ามาเก็บแทน การบิดเบือนกลไกราคาตลาดจนทำให้ยอดส่งออกข้าวไทยลดลงจากปีก่อน 40-50% ตลอดจนปัญหาการระบายข้าวที่มีความเสี่ยงว่ารัฐบาลอาจขาดทุนมหาศาลนับแสนล้านบาท
ส่วนหัวข้อที่เหลือมีอีก 3 เรื่องที่น่าสนใจ ได้แก่ หัวข้อรวมพลังภาคประชาชน สู้ด้วยเสียง หัวข้อรวมพลังภาคธุรกิจ ริเริ่มคลีน แอนด์ เคลียร์ สแตนดาร์ด ฟอร์ เออีซี เพื่อสร้างมาตรฐานธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้นแก่ธุรกิจไทย รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2558 และหัวข้อสุดท้าย หัวข้อตรวจแถวหมาเฝ้าบ้าน เพื่อติดตามและพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครที่เข้าร่วมโครงการ สร้างเครือข่ายเฝ้าระวังการทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งในด้านการหาข้อมูล แจ้งเบาะแส กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และวิธีปฏิบัติการเฝ้าระวังครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ
ทั้งนี้ การจัดงานดังกล่าวยังเป็นการแสดงสัญลักษณ์การรวมพลัง และมีการนำเสนอผลงานประจำปีของภาคีเครือข่ายต่อต้านการคอร์รัปชั่น เป้าหมายการทำงานในอนาคตของการต่อต้านคอร์รัปชัน ตลอดจนเป็นการรำลึกถึง นายดุสิต นนทะนาคร อดีตประธานกรรมการหอการค้าไทยและประธานก่อตั้งภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นคนแรก จึงกำหนดให้วันที่ 6 ก.ย. ซึ่งตรงกับวันเสียชีวิตของนายดุสิต เป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันของทุกปี หลังจากที่ผ่านมาปัญหาการคอร์รัปชันยังไม่ได้รับการแก้ไข และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น กล่าวว่า การแก้ปัญหาคอร์รัปชันของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 ปีถือว่าสอบตกเพราะไม่สามารถลดการทุจริตคอร์รัปชันในสายตาของภาคธุรกิจลงได้ แม้ว่ารัฐบาลจะมีความพยายามและบรรจุนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันเป็น 1 ใน 16 มาตรการเร่งด่วน เนื่องจากรัฐบาลยังขาดความจริงจังและความต่อเนื่องในการแก้ปัญหา หากยังปล่อยให้คอร์รัปชันรุนแรงขึ้นก็จะทำให้ประเทศชาติล่มจม โดยดูจากอันดับเรื่องความโปร่งใสของไทยจากการจัดอันดับขององค์กรเพื่อความโปร่งใสระหว่างประเทศ ไทยตกมาอยู่อันดับที่ 80 จากอันดับ 78 และผลสำรวจสถานการณ์คอร์รัปชันของประเทศไทย ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในรอบ 6 เดือนล่าสุด พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นตกลงมาอยู่ที่ 3.5 คะแนน เต็ม 10 คะแนน และภาคธุรกิจที่ต้องจ่ายค่าหัวคิวมากกว่า 25% ของมูลค่าโครงการ และเป็นสัดส่วนสูงสุดของการถูกเก็บค่าหัวคิว
ทั้งนี้ หากรัฐเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาจะทำให้ภาพลักษณ์ต่อรัฐบาลดีขึ้นในปี 56 และเป็นที่น่ายินดีที่ ครม.เห็นชอบในการพิจารณาที่จะเปิดเผยราคากลางของโครงการรัฐบาลแล้ว ซึ่งขณะนี้เครือข่ายฯ ได้รับข้อมูลและเบาะแสถึงการทุจริตใน 2 โครงการ คือ โครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนของภาครัฐที่ใช้งบ 3.4 แสนล้านบาท และโครงการจำนำพืชผลทางการเกษตรที่มีการร้องเรียน เช่น การสวมสิทธิข้าวนำสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านมาเข้าร่วมโครงการ
ด้านนางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงผลสำรวจดัชนีคอร์รัปชันไทยในรอบครึ่งปี 55 โดยระบุว่า ดัชนีคอร์รัปชันประจำเดือน มิ.ย. 55 โดยรวมอยู่ที่ 3.5 คะแนน จากเต็ม 10 คะแนน ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนเมื่อเดือน ธ.ค. 54 ที่ 3.6 คะแนน