ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ให้ดูแลปัญหาทุจริตในโครงการต่างๆของรัฐบาลว่า ในวันที่ 27 ก.ค.นี้ ตนจะประชุมคณะกรรมการตรวจสอบชุดใหญ่รอบสอง ใน 3 โครงการ ประกอบด้วยเรื่องงบเยียวยาน้ำท่วม โครงการจำนำข้าว และ งบท้องถิ่น โดยจะแบ่งเป็น 11 เขต หากใครคดโกงไว้ หรือถ้าคิดจะทำให้ก็เลิกเสีย นายกฯ กำชับตนให้ดำเนินการอย่างจริงจัง อย่าละเว้น ไม่มีลูบหน้าปะจมูก พวกที่โกงไปแล้ว ก็เตรียมตัวติดคุก
เมื่อถามว่า การที่นายกฯ ตั้งร.ต.อ.เฉลิม มาตรวจสอบเรื่องการทุจริต จะเกิดแรงเสียดทานกันเองในรัฐบาลหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ถ้าถามว่าใจตนอยากทำหรือไม่ ก็ไม่อยากทำ แต่เมื่อนายกฯ มีบัญชา ครม.มีมติ ตนก็ไม่มีทางเลือก ซึ่งหากใครทำผิด แล้วมีหลักฐาน ก็ต้องดำเนินการ
เมื่อถามย้ำว่า การที่นายกฯมอบหมายตรงนี้ จะเป็นการยืมมือในการปรับครม.หรือไม่ รองนายกฯ ปฏิเสธว่า ไม่มี เพราะตนไม่มีฤทธิ์เดช เพียงแต่นายกฯ เห็นว่าการทุจริตทำลายชาติบ้านเมือง ก็ไม่อยากให้มี
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า ในเร็วๆนี้ จะมีข่าวดีมาบอกสังคมไทย เนื่องจากมีนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ทำตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ ไปซื้อ–ขาย หุ้นนอกตลาด ตนมีหลักฐานแล้ว และสั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ดำเนินการ และอย่ามาบอกว่ามีการกลั่นแกล้ง ในเมื่อไปขายหุ้นนอกตลาด นำไปขายพรรคพวก ที่ทำอะไรกันไว้หนีไม่พ้นแน่ ต้องดำเนินการ
** นายกฯฝากปลาย่างไว้กับแมว
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ดูแลปัญหาการทุจริตโครงการต่างๆในรัฐบาลว่า เป็นเรื่องดีที่รัฐบาลเอาใจใส่การทุจริต คอร์รัปชัน เพราะมีกระแสข่าวลือหนาหูว่า รัฐบาลชุดนี้ มีการเพิ่มเปอร์เซ็นต์ค่าหัวคิดค่อนข้างสูง เพราะจากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า มีการจ่ายเพิ่มค่าหัวคิวจาก 25 เปอร์เซ็นต์ เป็น 30 – 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตนเห็นว่า การมอบให้ ร.ต.อ.เฉลิม ดูแลนั้น ไม่ต่างอะไรจากการฝากปลาย่างไว้กับแมว เพราะหลายคนทราบดีว่า ร.ต.อ.เฉลิม มีภาพลักษณ์ในเรื่องนี้อย่างไร ดังนั้นนายกฯ ควรมอบให้คนที่มีภาพลักษณ์เป็นที่น่าเชื่อถือกับสังคมดูแล จะดีกว่า
" ผมอยากให้จับตาดูงบก้อนใหญ่ ในโครงการป้องกันน้ำท่วม 3 แสนล้านบาท ที่มีกระแสข่าวว่า จะมีการทุจริตอย่างมโหฬาร แต่ขณะนี้โครงการกลับมีความคืบหน้าน้อยมาก รัฐบาลก็จะถือโอกาสนี้ ใช้เงื่อนเวลามาทำเรื่องลับๆ เช่น การล็อกสเปกบริษัทที่จะเข้าประมูล ให้แก่พรรคพวกตัวเอง และโครงการนี้ ซึ่งมีนายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เป็นประธาน ซึ่งในคณะกรรมการฯ ก็มีข้าราชการอยู่ 10 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน จะทำให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซงได้ง่าย และงบจำนวน 3 แสนล้านบาท หากมีการหักค่าหัวคิว จะทำให้รัฐสูญเสียงบ 1.5 แสนล้านบาท ดังนั้นขอให้นายกฯ เข้ามาเร่งรัดให้มีการประมูลราคาในเรื่องนี้อย่างโปร่งใส่ และให้ทันต่อเวลาการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไป โดยสุดท้ายมาบอกว่า จำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษ มิเช่นนั้นจะทำให้ประเทศเสียประโยชน์" นายเทพไท กล่าว
**สว.ขอนแก่นจี้รัฐบาลแก้ทุจริต
นายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ ส.ว.ข่อนแก่น เรียกร้องให้รัฐบาล ให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาทุจริต สืบเนื่องมาจากกรณีผลวิจัยของ ม.หอการค้า เปิดเผยดัชนีคอร์รัปชันประเทศไทย และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริต ซึ่งมีการจ่ายเงินพิเศษร้อยละ 30-35 ของงบรายจ่ายฯ และลบลงทุน คิดเป็นมูลค่าสูงเกือบถึง 3 แสนล้านบาท ในขณะที่ปีหน้า คาดว่าแนวโน้มการคอร์รัปชันจะเพิ่มสูงขึ้น เพราะงบประมาณของรัฐ เพิ่มสูงขึ้น
นายประเสริฐ กล่าวว่า เรื่องการคอร์รัปชัน ที่ต้องจ่าย 30-35 เปอร์เซ็นต์ ในการทำธุรกิจ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยลดลง ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์ มีอัตราการคอร์รัปชันน้อยกว่า จึงมีต้นทุนทางธุรกิจต่ำที่สุด แต่มีความโปร่งใสมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม เลขาธิการอาเซียน เปิดเผยว่า เงินทุนจำนวน 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐที่ลงทุนในอาเซียน ไปที่สิงคโปร์ 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากในประเทศไทย การก่อสร้างถนนทุกสายต้องจ่าย 30-35 เปอร์เซ็นต์ การนำเข้าอุปกรณ์ เครื่องจักร และขอใบอนุญาต ถ้าเกิดต้องจ่าย ถึงแม้ว่าจะมีครบถูกต้อง อาจทำให้การลงทุนของต่างชาติในประเทศไทย ลดน้อยลงไป
นายประเสริฐ กล่าวด้วยว่า ผลสำรวจของ ม.หอการค้า, เอแบคโพลล์ และหลายๆ สำนัก เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า เยาวชนไทยยอมรับการทุจริต หากได้รับประโยชน์ด้วย ซึ่งเป็นค่านิยมที่ผิด และยังบั่นทอนจริยธรรมของเยาวชนไทย ซึ่งจะกลายมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต
ทั้งนี้ รัฐบาลต้องปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้องแก่เยาวชนไทย เพราะพลเมืองที่มีคุณภาพ และคุณธรรม จะเป็นภูมิคุ้มกันคอร์รัปชันได้ดีที่สุด และรัฐบาลต้องเป็นแกนนำในการรณรงค์ ต่อต้านคอร์รัปชัน เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่สังคม
เมื่อถามว่า การที่นายกฯ ตั้งร.ต.อ.เฉลิม มาตรวจสอบเรื่องการทุจริต จะเกิดแรงเสียดทานกันเองในรัฐบาลหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ถ้าถามว่าใจตนอยากทำหรือไม่ ก็ไม่อยากทำ แต่เมื่อนายกฯ มีบัญชา ครม.มีมติ ตนก็ไม่มีทางเลือก ซึ่งหากใครทำผิด แล้วมีหลักฐาน ก็ต้องดำเนินการ
เมื่อถามย้ำว่า การที่นายกฯมอบหมายตรงนี้ จะเป็นการยืมมือในการปรับครม.หรือไม่ รองนายกฯ ปฏิเสธว่า ไม่มี เพราะตนไม่มีฤทธิ์เดช เพียงแต่นายกฯ เห็นว่าการทุจริตทำลายชาติบ้านเมือง ก็ไม่อยากให้มี
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า ในเร็วๆนี้ จะมีข่าวดีมาบอกสังคมไทย เนื่องจากมีนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ทำตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ ไปซื้อ–ขาย หุ้นนอกตลาด ตนมีหลักฐานแล้ว และสั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ดำเนินการ และอย่ามาบอกว่ามีการกลั่นแกล้ง ในเมื่อไปขายหุ้นนอกตลาด นำไปขายพรรคพวก ที่ทำอะไรกันไว้หนีไม่พ้นแน่ ต้องดำเนินการ
** นายกฯฝากปลาย่างไว้กับแมว
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ดูแลปัญหาการทุจริตโครงการต่างๆในรัฐบาลว่า เป็นเรื่องดีที่รัฐบาลเอาใจใส่การทุจริต คอร์รัปชัน เพราะมีกระแสข่าวลือหนาหูว่า รัฐบาลชุดนี้ มีการเพิ่มเปอร์เซ็นต์ค่าหัวคิดค่อนข้างสูง เพราะจากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า มีการจ่ายเพิ่มค่าหัวคิวจาก 25 เปอร์เซ็นต์ เป็น 30 – 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตนเห็นว่า การมอบให้ ร.ต.อ.เฉลิม ดูแลนั้น ไม่ต่างอะไรจากการฝากปลาย่างไว้กับแมว เพราะหลายคนทราบดีว่า ร.ต.อ.เฉลิม มีภาพลักษณ์ในเรื่องนี้อย่างไร ดังนั้นนายกฯ ควรมอบให้คนที่มีภาพลักษณ์เป็นที่น่าเชื่อถือกับสังคมดูแล จะดีกว่า
" ผมอยากให้จับตาดูงบก้อนใหญ่ ในโครงการป้องกันน้ำท่วม 3 แสนล้านบาท ที่มีกระแสข่าวว่า จะมีการทุจริตอย่างมโหฬาร แต่ขณะนี้โครงการกลับมีความคืบหน้าน้อยมาก รัฐบาลก็จะถือโอกาสนี้ ใช้เงื่อนเวลามาทำเรื่องลับๆ เช่น การล็อกสเปกบริษัทที่จะเข้าประมูล ให้แก่พรรคพวกตัวเอง และโครงการนี้ ซึ่งมีนายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เป็นประธาน ซึ่งในคณะกรรมการฯ ก็มีข้าราชการอยู่ 10 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน จะทำให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซงได้ง่าย และงบจำนวน 3 แสนล้านบาท หากมีการหักค่าหัวคิว จะทำให้รัฐสูญเสียงบ 1.5 แสนล้านบาท ดังนั้นขอให้นายกฯ เข้ามาเร่งรัดให้มีการประมูลราคาในเรื่องนี้อย่างโปร่งใส่ และให้ทันต่อเวลาการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไป โดยสุดท้ายมาบอกว่า จำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษ มิเช่นนั้นจะทำให้ประเทศเสียประโยชน์" นายเทพไท กล่าว
**สว.ขอนแก่นจี้รัฐบาลแก้ทุจริต
นายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ ส.ว.ข่อนแก่น เรียกร้องให้รัฐบาล ให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาทุจริต สืบเนื่องมาจากกรณีผลวิจัยของ ม.หอการค้า เปิดเผยดัชนีคอร์รัปชันประเทศไทย และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริต ซึ่งมีการจ่ายเงินพิเศษร้อยละ 30-35 ของงบรายจ่ายฯ และลบลงทุน คิดเป็นมูลค่าสูงเกือบถึง 3 แสนล้านบาท ในขณะที่ปีหน้า คาดว่าแนวโน้มการคอร์รัปชันจะเพิ่มสูงขึ้น เพราะงบประมาณของรัฐ เพิ่มสูงขึ้น
นายประเสริฐ กล่าวว่า เรื่องการคอร์รัปชัน ที่ต้องจ่าย 30-35 เปอร์เซ็นต์ ในการทำธุรกิจ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยลดลง ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์ มีอัตราการคอร์รัปชันน้อยกว่า จึงมีต้นทุนทางธุรกิจต่ำที่สุด แต่มีความโปร่งใสมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม เลขาธิการอาเซียน เปิดเผยว่า เงินทุนจำนวน 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐที่ลงทุนในอาเซียน ไปที่สิงคโปร์ 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากในประเทศไทย การก่อสร้างถนนทุกสายต้องจ่าย 30-35 เปอร์เซ็นต์ การนำเข้าอุปกรณ์ เครื่องจักร และขอใบอนุญาต ถ้าเกิดต้องจ่าย ถึงแม้ว่าจะมีครบถูกต้อง อาจทำให้การลงทุนของต่างชาติในประเทศไทย ลดน้อยลงไป
นายประเสริฐ กล่าวด้วยว่า ผลสำรวจของ ม.หอการค้า, เอแบคโพลล์ และหลายๆ สำนัก เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า เยาวชนไทยยอมรับการทุจริต หากได้รับประโยชน์ด้วย ซึ่งเป็นค่านิยมที่ผิด และยังบั่นทอนจริยธรรมของเยาวชนไทย ซึ่งจะกลายมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต
ทั้งนี้ รัฐบาลต้องปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้องแก่เยาวชนไทย เพราะพลเมืองที่มีคุณภาพ และคุณธรรม จะเป็นภูมิคุ้มกันคอร์รัปชันได้ดีที่สุด และรัฐบาลต้องเป็นแกนนำในการรณรงค์ ต่อต้านคอร์รัปชัน เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่สังคม