“หัวหน้าประชาธิปัตย์” ชี้ปัจจัยน้ำท่วมอยู่ที่ปริมาณน้ำ จี้บอกชาวบ้านรู้พื้นที่รับน้ำ แนะประเมินสถานการณ์จากเหนือ สับมัวแต่สนใจประมูล 3 แสนล้าน เตือนไม่ทำตามกฎหมายคนลงทุนจะเจอปัญหา จวกทำสวนทางก๊วนต้านโกงหมด ยกคำ “ประยุทธ์” คอนเฟิร์มหนีทหารจบแล้วไม่มีมูล เชื่อฉวยจังหวะพ่วงสืบพยานคดี “จตุพร” เตือนระวังละเมิดอำนาจศาล จับตาใช้กลไกรัฐเป็นเครื่องมือการเมือง
วันนี้ (24 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีหลายฝ่ายออกมาแสดงความกังวลว่าการก่อสร้างในโครงการป้องกันน้ำท่วมยังมีความคืบหน้าน้อยอาจไม่ทันต่อสถานการณ์ว่า ตนพูดมาตลอดว่าปีนี้ปัจจัยหลักที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมหรือไม่น่าจะอยู่ที่ปริมาณน้ำฝน ไม่ได้เกี่ยวกับการบริหารจัดการเพราะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จึงอยุ่ที่ว่าปริมาณน้ำมีมากน้อยแค่ไหนมากกว่า ตนคิดว่าการก่อสร้าง ซ่อมแซมที่ดำเนินการอยู่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือการบริหารจัดการ การเตรียมความพร้อมในพื้นที่ การเชื่อมโยงข้อมูล และถ้ายังยืนยันว่าจะมีแผนกำหนดพื้นที่รับน้ำก็ควรที่จะมีการบอกประชาชนให้รับทราบ และอยากให้รัฐบาลติดตามใกล้ชิดเนื่องจากในขณะนี้ก็มีคำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยาเกี่ยวกับพายุที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย โดยต้องประเมินจากสถานการณ์ในภาคเหนือก่อนเพราะเป็นตัวกำหนดปริมาณน้ำที่จะไหลลงเขื่อน ซึ่งรัฐบาลก็ต้องเรียนรุ้บทเรียนจากปัญหาการระบายน้ำในปีที่ผ่านมาด้วย เพราะมีหลายฝ่ายได้สรุปบทเรียนไว้ โดยมีการนำเสนอให้รัฐบาลไปแล้ว แต่ความสนใจของรัฐบาลกลับไปอยู่ที่การทำโครงการขนาดใหญ่ระยะยาวในเรื่องการเหมาประมูล 3 แสนล้าน ด้วยการยกเว้นระเบียบต่างๆ ทั้งที่โครงการก็ขาดความชัดเจนในแง่ขั้นตอนที่ต้องผ่านความเห็นชอบตามกฎหมายด้วย
ส่วนกรณีที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะเดินหน้าต่อโดยไม่มีการปฏิบัติตามกฎหมาย ป.ป.ช.ว่าด้วยเรื่องราคากลาง รวมถึงกรณีที่ยังไม่มีการดำเนินการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หากไม่ทำตามกฎหมายตั้งแต่ต้นจะเป็นปัญหาสำหรับคนที่เข้ามาลงทุนด้วย ซึ่งจะกระทบหลายด้านจึงอยากให้รัฐบาลมีความโปร่งใสในเรื่องนี้ ทั้งนี้ตนก็ไม่เข้าใจว่ารัฐบาลจะตอบคำถามอย่างไร เพราะทั้ง ป.ป.ช. ภาคเอกชน และคนที่ทำงานด้านการต่อต้านการทุจริตก็มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมในเรื่องราคากลาง เรื่องความโปร่งใส แต่รัฐบาลทำสวนทางหมด คือนอกจากจะไม่ทำตามที่หลายฝ่ายมีคำแนะนำไปแล้ว ยังมีการยกเว้นกฎระเบียบต่างๆ มากมายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดด้วย
ผู้นำฝ่ายค้านฯ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ออกมาระบุข้อกล่าวหาเรื่องหนีการเกณฑ์ทหารจบไปว่าไม่มีมูลตั้งแต่ปี 2542 ว่า ตนยืนยันมาตลอดว่าเรื่องนี้มาเกิดขึ้นอีกครั้งเพราะตนฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ ในข้อหาหมิ่นประมาทจากการกล่าวหาตนว่าหนีทหาร ซึ่งจะเห็นได้ว่าจังหวะของคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็มาในช่วงที่มีการสืบพยานพอดี เป็นวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนมาก จึงอยากเตือนว่าโดยหลักทุกคนต้องระมัดระวังเรื่องการละเมิดอำนาจศาลด้วย เพราะตนฟ้องคดีนี้มีนายจตุพรเป็นจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาทก็ไปพิสูจน์กันในศาล คนที่เข้ามาเป็นพยานก็มีโอกาสในการนำสืบไปแล้ว แต่ขณะนี้กำลังใช้สื่อของรัฐกลไกของรัฐเป็นเครื่องมือ ซึ่งไม่น่าจะถูกต้อง
ส่วนบทบาทของกระทรวงกลาโหมต่อเรื่องนี้นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีการทำหนังสือส่งไปที่ศาลก่อนที่จะเปิดเผยต่อสาธารณะด้วยซ้ำ ซึ่งตนเห็นว่าในขณะนี้มีการใช้กลไกของรัฐมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเหมือนในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่มาของปัญหาวิกฤตต่างๆ ตนก็คิดว่าสังคมต้องช่วยกัน เพราะถ้าเราปล่อยให้กลไกต่างๆ ถูกนำมาใช้เพื่อการเมือง และเป็นการเมืองในลักษณะที่ไม่สร้างสรรค์ ไม่ได้เป็นประโยชน์กับประชาชน เป็นการทำลายระบบ ดังนั้นจึงอยากให้กระทรวงกลาโหมทำหน้าที่อขงตัวเองอย่างตรงไปตรงมาอย่าเป็นเครื่องมือทางการเมือง