อีลิทการ์ดไม่คืบหน้า สถาบันการศึกษา โบ้ยไม่รับทำแผนการตลาดให้อีลิทการ์ด อ้างโครงการชื่อเสียงเสียไปหมดแล้ว แถมให้ระยะเวลาน้อย ต้องหันซบบริษัทเอกชน ด้วยงบ 2 ล้านบาท แต่เสร็จไม่ทันตามกำหนด 2 เดือนแน่นอน ยันถ้าการเสนอแผนการตลาดต่อที่ประชุมครม.ครั้งนี้ผ่าน อีลิทการ์ด จะใช้เงินทุนจดทะเบียนที่ค้างอยู่ 500 ล้านบาทได้พอ
รายงานข่าวจากบริษัทไทยแลนด์ พริวิเลจคาร์ด จำกัด หรือ ทีพีซี ผู้บริหารโครงการบัตรไทยแลนด์ อีลิทการ์ด กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำแผนการตลาดให้มีความชัดเจน ล่าสุดการดำเนินงานยังไม่คืบหน้ามากและยอมรับว่า ไม่สามารถจัดทำเสร็จได้ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมศกนี้ ซึ่งถือเป็นการครบกำหนดระยะเวลา 2 เดือนตามที่นายชุมพล ศิลปอาชา
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาให้ระยะเวลาไว้
ปัญหาความล่าช้า มาจากในช่วงแรกหลังจากที่ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2555 มอบให้ ทีพีซี ไปจัดทำแผนการตลาดเชิงลึก ที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นไปได้มากที่สุด กลับมาเสนอในเวลา 2 เดือน ซึ่งทีพีซี และ คณะทำงานจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น 100% ก็ตัดสินใจจัดจ้างผู้เชี่ยวชาญมาศึกษาและจัดทำแผนการตลาดให้ ทีพีซี
โดยติดต่อไปยังมหาวิทยาลัย ต่างๆ ปรากฏว่าไม่มีใครรับทำให้ โดยให้เหตุผลว่า ชื่อเสียงของอีลิทการ์ดขณะนี้เสียไปมากแล้ว และ ระยะเวลาการทำแผนที่ให้ไว้สั้นมาก คือตั้งไว้ 45 วัน ค่าจ้างที่จะให้ใช้ในการศึกษาก็น้อยมาก ทำให้แม้แต่บริษัทเอกชนที่รับทำแผนการตลาดยังไม่สนใจที่จะรับทำโครงการนี้
อย่างไรก็ตาม ททท.ยังเสาะหาบริษัทเอกชนเข้ามารับทำแผนการตลาดให้แก่อีลิทการ์ดได้ แต่ต้องยอมรับเงื่อนไขของเอกชนว่า จะไม่นับเวลาย้อนหลัง ให้นับเวลาตามวันที่ตกลงเซ็นสัญญากันจริง โดยตั้งงบการศึกษานี้ไว้ที่ 2 ล้านบาท จากวงเงินที่ ครม.อนุมัติมาเสริมสภาพคล่องให้แก่ทีพีซี 20 ล้านบาท ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมา จึงทำให้การศึกษาอาจล่าช้ากว่ากำหนดไปบ้าง
ทั้งนี้ยอมรับว่า หาก ครม.เห็นด้วยตามแผนการตลาดที่ ทีพีซีนำเสนอ แล้ว เบื้องต้น จะใช้เงินจากการชำระค่าหุ้นที่ยังคงเหลืออีก 500 ล้านบาท ในการเริ่มธุรกิจให้แก่ทีพีซีอีกครั้ง โดยวงเงินนี้จะรวมไปถึงการรีแบรนด์ดิ้ง ให้แก่ อีลิทการ์ดด้วย และมั่นใจว่า โมเดลธุรกิจใหม่นี้มีความเป็นไปได้ทางธุรกิจอย่างแน่นอน เพราะเป้าหมายที่วางไว้ไม่สูงเกินไป
กล่าวคือจะเพิ่มจำนวนสมาชิกใหม่ปีละ 1,000 ราย ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป และ เมื่อถึงปี 2564 ทีพีซี จะมียอดสมาชิกสะสมรวม 12,063 ราย จากปัจจุบันมียอดสมาชิกที่ 2,563 ราย โดยเงินที่จะใช้หมุนเวียนในการทำธุรกิจมาจากการเก็บค่าสมาชิกรายได้ นอกเหนือจากรายได้จากการขายบัตร โดยสมาชิกเก่า อาจต้องมีการแก้ไขสัญญา ให้มีการเสียค่าสมาชิกรายปีด้วยเพื่อความเท่าเทียมกัน