ASTVผู้จัดการรายวัน – บอร์ด ททท. ไฟเขียว ให้ อีลิทการ์ด ยืมเงิน 5 ล้าน เสริมสภาพคล่อง อ้างไม่ผิดมาตรา 9(9) ด้านรักษาการผู้จัดการใหญ่ ทีพีซี เล็งหารือ ผู้ว่าการ ททท. วางแนวทางการจัดทำแผนธุรกิจให้ ทีพีซี ด้านสหภาพฯททท.โวยค้านปล่อยกูอีลิท
นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร(บอร์ด) ททท. มีมติเห็นชอบให้ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด (ทีพีซี) ผู้บริหารโครงการบัตรไทยแลนด์ อีลิท การ์ด ยืมเงิน วงเงิน 5 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้จ่ายระหว่างที่รอการเบิกจ่ายเงิน 20 ล้านบาท ที่ คณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติให้มาเสริมสภาพคล่อง เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.55
การอนุมัติครั้งนี้ของ บอร์ด ททท. ได้ศึกษาแล้วว่า ตามมาตรา 9(9) ของ พรบ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สามารถนำเงินไปให้หน่วยงานในสังกัดกู้ยืมได้ วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่ง ทีพีซี ถือเป็นบริษัท ที่ ททท.ถือหุ้น 100% จึง ไม่ขัดต่อข้อบังคับดังกล่าว และไม่น่าจะเกิดหนี้สูญ เพราะถึงอย่างไร ทีพีซี ก็ยังมีสินทรัพย์ และวงเงิน 20 ล้านบาท ตามที่ ครม. อนุมัติดังกล่าวข้างต้น
จะเป็น หลักทรัพย์มาใช้ค้ำประกันเงินกู้ครั้งนี้ได้
“ขั้นตอนจากนี้ คงไปดูในรายละเอียดว่า จะให้ ทีพีซี นำหลักทรัพย์อะไรมาค้ำประกันเงินกู้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด ตาม มาตรา 9(9) และ ระยะเวลาการใช้คืนเงินกู้ว่าจะเป็นเมื่อใด คือ เมื่อทีพีซีได้เงิน 20 ล้านบาทจาก ครม. หรือ ในช่วงที่ ททท.ชำระค่าหุ้นที่ยังค้างอยู่ 500 ล้านบาท”
***เสนอ2ทางเลือกผู้ว่า ททท.ทำแผนเองกับว่าจ้าง
นางวิไลวรรณ ทวิชศรี รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว รักษาการผู้จัดการใหญ่ ทีพีซี กล่าวว่า ตามที่ มติ ครม. ต้องการให้ การจัดทำแผนธุรกิจ ของ ทีพีซี มีความละเอียดและชัดเจนในแผนปฏิบัติการมากขึ้น จะหารือกับผู้ว่าการ ททท. ว่าจะ ระดมบุคคลากรของ ททท.ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำแผนการตลาดมาช่วยกันจัดทำ หรือจะพิจารณาจ้างผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการจัดทำแผนธุรกิจ มาดำเนินการ ซึ่งจะต้องทำให้เสร็จภายในกรอบเวลา 2 เดือน ตามที่ รองนายกรัฐมนตรี ชุมพล ศิลปอาชา กำหนดไว้
ส่วนกรณีที่ทีพีซีต้องมีสินทรัพย์มาค้ำประกันเงินกู้จาก ททท. 5 ล้านบาท ไม่น่ามีปัญหา เพราะทีพีซีเองก็มีสินทรัพย์หมุนเวียนเป็นมูลค่ากว่า 10
ล้านบาท อยู่แล้ว ส่วนกรณี สหภาพ ททท. ออกมาต่อต้านการให้ทีพีซียืมเงินครั้งนี้ คงต้องเชิญมาให้ข้อมูลและทำความเข้าใจกับพนักงานภายในองค์กร “ นางวิไลวรรณกล่าว
นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า ในส่วนของ ภาคเอกชน มองว่า อีลิทการ์ดเป็นโครงการที่ดี ที่จะนำนักท่องเที่ยวและนักลงทุนระดับคุณภาพเข้ามาประเทศไทย แต่ที่ผ่านมาข้อผิดพลาดสำคัญ คือรูปแบบการบริหารจัดการ และ สิทธิประโยชน์ที่ให้แก่สมาชิกที่มากเกินกำลังความสามารถของบริษัท ตอนนี้ ภาคเอกชน คงขอรอดูแผนธุรกิจ ทั้งด้าน การตลาด การเงิน และ ช่องทางการจัดจำหน่าย ที่ทีพีซีจะเสนอมาครั้งใหม่ จึงจะให้คำแนะนำได้ว่าควรปรับแต่งอะไรเพิ่มเติม
****สหภาพฯททท.โวยค้านปล่อยกูอีลิท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การท่องเที่ยวแห่งประเทศ (สรทท.)ได้ยื่นหนังสือถึง ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เรื่อง ขอคัดค้านการให้ บริษัท ไทยแลนด์พริวิเลจ คาร์ด จำกัด กู้ยืมเงินรายได้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยให้เหตุผลว่า ตั้งแต่ ทีพีซี จัดตั้งบริษัทมาตั้งแต่ปี 2546
มีเงินจากทุนจดทะเบียนและการขายบัตรสมาชิกรวมไม่น้อยกว่า 2,300 ล้านบาท แต่ตลอดเวลา บริษัทไม่มีแนวโน้มว่าผลประกอบการจะมีกำไร และ บอร์ด ททท.ยังเคยมีมติยุบเลิกบริษัทนี้มาตั้งแต่ปี 2554 ไม่เคยนำส่งรายได้กลับมายัง ททท.ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น และ เท่าที่ สรทท. ข้อมูลเบื้องต้น ยังพบว่า ปัญหาขาดสภาพคล่องของ ทีพีซี ที่เป็นอยู่ขณะนี้ ทำให้ไม่น่าเชื่อว่า ทีพีซี
จะมีเงินมาชำระคืนได้ในระยะเวลาอันสั้น และ การให้ ทีพีซี กู้ยืมเงิน จะสะท้อนว่า ททท.มีเงินเหลือมากเพียงพอ ทั้งที่ทุกวันนี้ ททท.ยังดำเนินการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่พนักงานและลูกจ้าง(โบนัส) ยังไม่ครบ จึงเห็นสมควรที่จะยื่นคัดค้าน
นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร(บอร์ด) ททท. มีมติเห็นชอบให้ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด (ทีพีซี) ผู้บริหารโครงการบัตรไทยแลนด์ อีลิท การ์ด ยืมเงิน วงเงิน 5 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้จ่ายระหว่างที่รอการเบิกจ่ายเงิน 20 ล้านบาท ที่ คณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติให้มาเสริมสภาพคล่อง เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.55
การอนุมัติครั้งนี้ของ บอร์ด ททท. ได้ศึกษาแล้วว่า ตามมาตรา 9(9) ของ พรบ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สามารถนำเงินไปให้หน่วยงานในสังกัดกู้ยืมได้ วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่ง ทีพีซี ถือเป็นบริษัท ที่ ททท.ถือหุ้น 100% จึง ไม่ขัดต่อข้อบังคับดังกล่าว และไม่น่าจะเกิดหนี้สูญ เพราะถึงอย่างไร ทีพีซี ก็ยังมีสินทรัพย์ และวงเงิน 20 ล้านบาท ตามที่ ครม. อนุมัติดังกล่าวข้างต้น
จะเป็น หลักทรัพย์มาใช้ค้ำประกันเงินกู้ครั้งนี้ได้
“ขั้นตอนจากนี้ คงไปดูในรายละเอียดว่า จะให้ ทีพีซี นำหลักทรัพย์อะไรมาค้ำประกันเงินกู้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด ตาม มาตรา 9(9) และ ระยะเวลาการใช้คืนเงินกู้ว่าจะเป็นเมื่อใด คือ เมื่อทีพีซีได้เงิน 20 ล้านบาทจาก ครม. หรือ ในช่วงที่ ททท.ชำระค่าหุ้นที่ยังค้างอยู่ 500 ล้านบาท”
***เสนอ2ทางเลือกผู้ว่า ททท.ทำแผนเองกับว่าจ้าง
นางวิไลวรรณ ทวิชศรี รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว รักษาการผู้จัดการใหญ่ ทีพีซี กล่าวว่า ตามที่ มติ ครม. ต้องการให้ การจัดทำแผนธุรกิจ ของ ทีพีซี มีความละเอียดและชัดเจนในแผนปฏิบัติการมากขึ้น จะหารือกับผู้ว่าการ ททท. ว่าจะ ระดมบุคคลากรของ ททท.ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำแผนการตลาดมาช่วยกันจัดทำ หรือจะพิจารณาจ้างผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการจัดทำแผนธุรกิจ มาดำเนินการ ซึ่งจะต้องทำให้เสร็จภายในกรอบเวลา 2 เดือน ตามที่ รองนายกรัฐมนตรี ชุมพล ศิลปอาชา กำหนดไว้
ส่วนกรณีที่ทีพีซีต้องมีสินทรัพย์มาค้ำประกันเงินกู้จาก ททท. 5 ล้านบาท ไม่น่ามีปัญหา เพราะทีพีซีเองก็มีสินทรัพย์หมุนเวียนเป็นมูลค่ากว่า 10
ล้านบาท อยู่แล้ว ส่วนกรณี สหภาพ ททท. ออกมาต่อต้านการให้ทีพีซียืมเงินครั้งนี้ คงต้องเชิญมาให้ข้อมูลและทำความเข้าใจกับพนักงานภายในองค์กร “ นางวิไลวรรณกล่าว
นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า ในส่วนของ ภาคเอกชน มองว่า อีลิทการ์ดเป็นโครงการที่ดี ที่จะนำนักท่องเที่ยวและนักลงทุนระดับคุณภาพเข้ามาประเทศไทย แต่ที่ผ่านมาข้อผิดพลาดสำคัญ คือรูปแบบการบริหารจัดการ และ สิทธิประโยชน์ที่ให้แก่สมาชิกที่มากเกินกำลังความสามารถของบริษัท ตอนนี้ ภาคเอกชน คงขอรอดูแผนธุรกิจ ทั้งด้าน การตลาด การเงิน และ ช่องทางการจัดจำหน่าย ที่ทีพีซีจะเสนอมาครั้งใหม่ จึงจะให้คำแนะนำได้ว่าควรปรับแต่งอะไรเพิ่มเติม
****สหภาพฯททท.โวยค้านปล่อยกูอีลิท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การท่องเที่ยวแห่งประเทศ (สรทท.)ได้ยื่นหนังสือถึง ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เรื่อง ขอคัดค้านการให้ บริษัท ไทยแลนด์พริวิเลจ คาร์ด จำกัด กู้ยืมเงินรายได้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยให้เหตุผลว่า ตั้งแต่ ทีพีซี จัดตั้งบริษัทมาตั้งแต่ปี 2546
มีเงินจากทุนจดทะเบียนและการขายบัตรสมาชิกรวมไม่น้อยกว่า 2,300 ล้านบาท แต่ตลอดเวลา บริษัทไม่มีแนวโน้มว่าผลประกอบการจะมีกำไร และ บอร์ด ททท.ยังเคยมีมติยุบเลิกบริษัทนี้มาตั้งแต่ปี 2554 ไม่เคยนำส่งรายได้กลับมายัง ททท.ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น และ เท่าที่ สรทท. ข้อมูลเบื้องต้น ยังพบว่า ปัญหาขาดสภาพคล่องของ ทีพีซี ที่เป็นอยู่ขณะนี้ ทำให้ไม่น่าเชื่อว่า ทีพีซี
จะมีเงินมาชำระคืนได้ในระยะเวลาอันสั้น และ การให้ ทีพีซี กู้ยืมเงิน จะสะท้อนว่า ททท.มีเงินเหลือมากเพียงพอ ทั้งที่ทุกวันนี้ ททท.ยังดำเนินการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่พนักงานและลูกจ้าง(โบนัส) ยังไม่ครบ จึงเห็นสมควรที่จะยื่นคัดค้าน
