“กานต์” บิ๊ก SCC ยังเดินหน้าซื้อกิจการต่างประเทศต่อ แต่เพิ่มความระมัดระวังหลังวิกฤตหนี้ยุโรปแย่ลง ชี้ไตรมาส 2 แบกภาระขาดทุนสต๊อกหลังราคาน้ำมันลงเร็ว มั่นใจทั้งปีโกยรายได้ตามเป้ากว่า 4.1 แสนล้านบาท
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยความคืบหน้าในการซื้อกิจการ (M&A) ว่า ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มเติมอีก 2-3 รายในประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนาม แต่จำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเข้าซื้อกิจการมากยิ่งขึ้น สืบเนื่องจากสถานการณ์วิกฤตหนี้ในยุโรปที่ไม่ดีขึ้น และจีนก็มีการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
“ฐานะการเงินบริษัทฯ ยังเข้มแข็งอยู่ มีเงินสดในมือเพียงพอที่จะซื้อกิจการ และแผนการลงทุนของบริษัทฯ ไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการเข้าซื้อกิจการในอาเซียน จำเป็นต้องประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากปัญหาวิกฤตในยุโรปหากกรีซออกจากยูโรโซนหรือไม่”
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มองว่าการซื้อกิจการโรงงานในอินโดนีเซียนั้นมีความเสี่ยงต่ำกว่าเวียดนาม เนื่องจากอินโดนีเซียมีตลาดภายในประเทศใหญ่มาก และส่งออกน้อย ทำให้ได้รับผลกระทบไม่มากหากวิกฤตเศรษฐกิจยุโรปแย่ลง ผิดกับเวียดนามที่เน้นการส่งออกจึงได้รับผลกระทบมากกว่า แต่ทั้งนี้ โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนามยังเดินหน้าอยู่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดหาเงินกู้ คาดว่าจะแล้วเสร็จในต้นปีหน้า
นายกานต์กล่าวถึงผลประกอบการไตรมาส 2/2555 ว่า บริษัทมียอดขายสูงกว่าไตรมาส 1/2555 และส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติก HDPE กับวัตถุดิบ (สเปรด) ขยับขึ้นมาอยู่ 490 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากไตรมาส 1/55 ต่ำสุดอยู่ที่ 375 เหรียญสหรัฐ เนื่องจากราคาแนฟทาอ่อนตัวลงจาก 1,040 เหรียญสหรัฐต่อตันในไตรมาส 1 เหลือเพียง 800 เหรียญสหรัฐต่อตันในไตรมาสนี้
จากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลงในไตรมาสนี้ทำให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากสต๊อก ซึ่งมาร์จิ้นที่ดีขึ้นของเม็ดพลาสติกไม่สามารถชดเชยการขาดทุนจากสต๊อกได้พอ แต่ทั้งปีเชื่อว่าบริษัทฯ ยังมีรายได้เกิน 4.1 แสนล้านบาทตามเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยความคืบหน้าในการซื้อกิจการ (M&A) ว่า ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มเติมอีก 2-3 รายในประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนาม แต่จำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเข้าซื้อกิจการมากยิ่งขึ้น สืบเนื่องจากสถานการณ์วิกฤตหนี้ในยุโรปที่ไม่ดีขึ้น และจีนก็มีการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
“ฐานะการเงินบริษัทฯ ยังเข้มแข็งอยู่ มีเงินสดในมือเพียงพอที่จะซื้อกิจการ และแผนการลงทุนของบริษัทฯ ไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการเข้าซื้อกิจการในอาเซียน จำเป็นต้องประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากปัญหาวิกฤตในยุโรปหากกรีซออกจากยูโรโซนหรือไม่”
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มองว่าการซื้อกิจการโรงงานในอินโดนีเซียนั้นมีความเสี่ยงต่ำกว่าเวียดนาม เนื่องจากอินโดนีเซียมีตลาดภายในประเทศใหญ่มาก และส่งออกน้อย ทำให้ได้รับผลกระทบไม่มากหากวิกฤตเศรษฐกิจยุโรปแย่ลง ผิดกับเวียดนามที่เน้นการส่งออกจึงได้รับผลกระทบมากกว่า แต่ทั้งนี้ โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนามยังเดินหน้าอยู่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดหาเงินกู้ คาดว่าจะแล้วเสร็จในต้นปีหน้า
นายกานต์กล่าวถึงผลประกอบการไตรมาส 2/2555 ว่า บริษัทมียอดขายสูงกว่าไตรมาส 1/2555 และส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติก HDPE กับวัตถุดิบ (สเปรด) ขยับขึ้นมาอยู่ 490 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากไตรมาส 1/55 ต่ำสุดอยู่ที่ 375 เหรียญสหรัฐ เนื่องจากราคาแนฟทาอ่อนตัวลงจาก 1,040 เหรียญสหรัฐต่อตันในไตรมาส 1 เหลือเพียง 800 เหรียญสหรัฐต่อตันในไตรมาสนี้
จากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลงในไตรมาสนี้ทำให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากสต๊อก ซึ่งมาร์จิ้นที่ดีขึ้นของเม็ดพลาสติกไม่สามารถชดเชยการขาดทุนจากสต๊อกได้พอ แต่ทั้งปีเชื่อว่าบริษัทฯ ยังมีรายได้เกิน 4.1 แสนล้านบาทตามเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้