ผู้ประกอบการส่งออกข้าวถุง เตรียมปรับแผนธุรกิจใหม่ หลังข้าวจากเวียดนาม กัมพูชา ดัมป์ราคาขาย-ตีตลาดกระจุย เล็งสร้างแบรนด์ลุยตลาดในประเทศแทน แย้มมีน้องใหม่เพิ่มไม่ต่ำกว่า 30 แบรนด์
นายสมเกียรติ มรรคยาธร นายกสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย เปิดเผยทิศทางการส่งออก โดยยอมรับว่า การส่งออกช่วงนี้ ได้รับปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ประกอบกับผลผลิตข้าวจากประเทศเวียดนาม และกัมพูชา เริ่มมีการส่งออกมากขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดส่งออกค่อนข้างรุนแรง
“กรณีดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการข้าวในไทยต้องปรับแผนการดำเนินธุรกิจ ด้วยการหันมารุกทำตลาดข้าวถุงในประเทศมากขึ้น เพื่อชดเชยยอดขายข้าวถุงที่ส่งออกไปต่างประเทศที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากแนวโน้มดังกล่าวคาดว่าในปีนี้จะมีผู้ประกอบการเปิดตัวข้าวถุงแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาดอีกไม่ต่ำกว่า 30 แบรนด์ จากปัจจุบันมีแบรนด์ข้าวถุงที่ทำตลาดอยู่แล้วประมาณ 200 แบรนด์”
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการข้าวถุงในตลาด ทางสมาคมจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในด้านของการค้าโดยเฉพาะด้านการหาช่องทางจำหน่าย ซึ่งหลังจากนี้ คาดว่า การเจรจาต่อรองนำข้าวถุงเข้าจำหน่ายภายในห้างค้าปลีกจะทำได้ง่ายขึ้นและเป็นธรรมมากขึ้น ภายหลังจากจะมีแบรนด์สินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้นขึ้น
สำหรับแนวโน้มของราคาข้าวถุงในปีนี้นั้น คาดว่า จะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 8-10% ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ แต่ทั้งนี้คงต้องดูนโยบายการรับจำนำข้าวของภาครัฐก่อนว่าจะมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน เพราะถ้ามีประสิทธิภาพราคาข้าวก็จะสามารถปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ แต่ถ้าไม่มีราคาข้าวก็จะยังทรงตัวเช่นนี้
นายวิพุธ หวั่งหลี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบริหารงานขายและการตลาด บริษัท ชัยทิพย์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวถุงตราพนมรุ้ง ยอมรับว่า แนวโน้มของการส่งออกข้าวถุงเข้าไปทำตลาดในต่างประเทศเริ่มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทไม่สามารถทำราคาขายสู้กับคู่แข่งในประเทศเวียดนามที่มีราคาขาย 600-700 ดอลลาร์ต่อตัน และกัมพูชามีราคาขายที่ 800-900 ดอลลาร์ต่อตัน
ขณะที่ข้าวจากประเทศไทยมีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 1,100 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งถือว่าแพงกว่าประเทศคู่แข่งอย่างมาก จึงทำให้ในปีนี้บริษัทต้องหันมาทำตลาดในประเทศมากขึ้น เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากการส่งออก
สำหรับช่องทางการทำตลาดที่บริษัทจะหันมารุกขายข้าวถุงในประเทศมากขึ้นในปีนี้ คือ ร้านโชวห่วย เนื่องจากช่องทางดังกล่าวไม่มีค่าใช้จ่ายเหมือนกับการนำสินค้าเข้าจำหน่ายในห้างค้าปลีก