น.ส.กอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยแนวโน้มการส่งออกข้าวปี 2555 ว่า ไทยจะส่งออกข้าวเหลือเพียง 7 ล้านตัน จาก 10.5 ล้านตันในปี 2554 ซึ่งมาจากปัจจัยทั้งในและนอกประเทศ เช่น ประเทศอินเดียที่เป็นคู่แข่งตลาดข้าวนึ่งและข้าวขาว ได้กลับเข้าสู่ตลาดผู้ส่งออกอีกครั้ง หลังรัฐบาลห้ามส่งออกมาตั้งแต่ต้นปี 2551 และยังไม่มีความชัดเจนว่า จะส่งออกเพิ่มจากที่รัฐอนุญาตให้เอกชนส่งออกได้ 2 ล้านตันหรือไม่ ขณะที่เวียดนามเริ่มเข้ามาทำตลาดข้าวหอมมะลิ พัฒนาพันธุ์ข้าวหอมของตนให้มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของลูกค้า โดยเฉพาะในตลาดประจำของไทย ทั้งฮ่องกง สิงคโปร์และจีน แต่มีราคาต่ำกว่าไทยมาก ปัจจุบันข้าวหอม 5 % เวียดนาม อยู่ที่ประมาณ 600 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่วนข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ฤดูใหม่ไทยอยู่ที่ 950-1,050 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งมีส่วนต่างถึงตันละ 350-450 เหรียญสหรัฐฯ ขณะเดียวกันข้าวหอมฤดูใหม่เวียดนาม จะออกสู่ตลาดช่วงเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งราคาคงจะต่ำกว่าปัจจุบัน ประกอบกับเวียดนามเพิ่มเป้าส่งออกข้าวนึ่งเป็นปีละ 4 แสนตัน ข้าวหอมปีละ 8 แสนตัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดข้าวหอมไทยอย่างแน่นอน
นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวอีกว่า จากการที่รัฐบาลตั้งราคารับจำนำข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 20,000 บาท และข้าวเปลือกเจ้า 100% 15,000 บาท ส่งผลให้ราคาข้าวสารในประเทศและราคาข้าวส่งออกปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ช่องว่างระหว่างราคาข้าวไทยและคู่แข่งมีมากขึ้น ส่งผลให้การส่งออกข้าวไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่ง โดยมีส่วนแบ่งในตลาดโลกถึงร้อยละ 30 แต่ไม่ได้หมายความว่า จะสามารถกำหนดราคาขายได้ ภายใต้ตลาดการค้าเสรี รวมถึงปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ภัยธรรมชาติ คู่แข่งในตลาดและอัตราแลกเปลี่ยน
นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวอีกว่า จากการที่รัฐบาลตั้งราคารับจำนำข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 20,000 บาท และข้าวเปลือกเจ้า 100% 15,000 บาท ส่งผลให้ราคาข้าวสารในประเทศและราคาข้าวส่งออกปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ช่องว่างระหว่างราคาข้าวไทยและคู่แข่งมีมากขึ้น ส่งผลให้การส่งออกข้าวไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่ง โดยมีส่วนแบ่งในตลาดโลกถึงร้อยละ 30 แต่ไม่ได้หมายความว่า จะสามารถกำหนดราคาขายได้ ภายใต้ตลาดการค้าเสรี รวมถึงปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ภัยธรรมชาติ คู่แข่งในตลาดและอัตราแลกเปลี่ยน