xs
xsm
sm
md
lg

ครม.ไฟเขียว งบเร่งด่วน 7.8 หมื่นล.“ปู” ว้ากเงินเยียวยาเหยื่อน้ำท่วมอืด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ครม.ไฟเขียว งบเร่งด่วนปี 55 วงเงิน 7.8 หมื่นล้าน กำชับ รมว.อุตฯ ดูแลช่วยเหลือ รง.-เอสเอ็มอี จมน้ำ นายกฯ สั่งทุกหน่วยงาน กลางที่ประชุมฯ เร่งรัดส่วนราชการเบิกจ่ายงบฯ ฟื้นฟูเยียวยาเหยื่อน้ำท่วม แม้ว่า ครม.อนุมัติไปแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่พบว่า ยังไม่มีการเบิกจ่าย


มีรายงานข่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ได้อนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2555 อีกจำนวน 78,683.5 ล้านบาท ตามที่กระทรวงต่างๆ ได้มีการเสนอ เพื่อใช้ในโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน โดยจะนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 4-5 มกราคม 2555

สำหรับรายละเอียด แบ่งเป็นยุทธศาสตร์ด้านต่างๆ เช่น ยุทธศาสตร์การสร้างรากฐานการพัฒนาที่สมดุลสู่ชุมชน ยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งมีรายการงบประมาณผูกพันธ์ 6 รายการ รวมเงิน 2,900 ล้านบาท เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 จำนวน 439 ล้านบาท และผูกพันงบประมาณปีต่อๆ ไป กว่า 2 พันล้านบาท

นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม.โดยระบุว่า ก่อนการประชุมฯ นายกรัฐมนตรี ได้พูดถึงงบประมาณเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวน 20,110 ล้านบาท และได้กำชับให้เร่งเบิกจ่ายภายใน 3 วัน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการเบิกจ่าย

ทั้งนี้ เบื้องต้นพบว่า การเบิกจ่ายจะต้องให้ส่วนราชการยื่นขอจัดสรร จึงได้สั่งการให้ส่วนราชการดูแลเรื่องดังกล่าว และพยายามลดขั้นตอนให้น้อยลง เพื่อเบิกจ่ายให้ถึงมือประชาชนโดยเร็วที่สุด ส่วนกระทรวงคมนาคม ที่มีหน้าที่ซ่อมแซมถนน ขอให้เตรียมจัดซื้อจัดจ้างหาผู้รับจ้างให้พร้อม เพื่อเบิกจ่ายเงินโดยเร็ว

นอกจากนี้ ยังให้กระทรวงสาธารณสุข กรมชลประธาน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมรับมือปัญหาน้ำท่วม หลังจากที่ฟิลิปปินส์ ได้รับผลกระทบจากพายุวาชิ และให้ ศปภ.ลงไปช่วยประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ ส่วนการให้ความช่วยเหลือประเทศฟิลิปปินส์ กระทรวงการต่างประเทศ จะประชุมหารือในวันนี้ เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลืออย่างไร

นายกรัฐมนตรี ยังเป็นห่วงปัญหาขยะที่มีจำนวนมาก จึงให้คำแนะนำ ศปภ.โดยบอกว่า การกำจัดขยะแบ่งเป็นโซน และขอให้กองทัพส่งเจ้าหน้าที่ทหารมาช่วยกำจัดขยะ โดยรัฐบาลจะจัดสรรเบี้ยเลี้ยงให้ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรม บูรณาการกำจัดขยะร่วมกัน โดยเฉพาะกากอุตสาหกรรมและกระสอบทราย หากกระทรวงใดต้องการ ให้ไปจัดเก็บได้เลย เพราะกระสอบทรายไม่ใช่วัสดุคุรุภัณฑ์ แต่เป็นวัสดุสิ้นเปลือง และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหาแนวทางการกำจัดกระสอบทรายด้วย

ด้าน นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. ได้กำชับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ติดตามการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมไดสรุปความเสียหายของผู้ประกอบการคิดเป็นมูลค่าเกือบ 2.3 แสนล้านบาท

โดยผู้ประกอบการในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร, สวนอุตสาหกรรมโรจนะ, นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค), นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน, เขตอุตสาหกรรมแฟคทอรี่แลนด์, สวนอุตสาหกรรมบางกะดี และนิคมอุตสาหกรรมนวนคร แยกเป็น โรงงานที่สามารถกลับมาเริ่มทำการผลิตได้แล้ว 122 ราย หรือคิดเป็น 13.7% และโรงงานที่อยู่ระหว่างซ่อมแซมและฟื้นฟู 766 แห่ง หรือคิดเป็น 86.3% ส่วนโรงงานที่เลิกกิจการไม่มีการรายงานเข้ามา ซึ่งคาดว่า โรงงานทุกแห่งจะกลับมาทำการผลิตได้ตามปกติในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2555

นายชลิตรัตน์ กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้รายงานความเสียหายของโรงงาน 8,413 แห่ง ในพื้นที่ 42 จังหวัด คิดเป็นมูลค่ารวม 229,575 ล้านบาท โดยเป็นโรงงานที่ตั้งในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม 888 แห่ง ซึ่งได้รับความเสียหายในเรื่องของอาคาร 26,357 ล้านบาท ความเสียหายเรื่องวัตถุดิบและชิ้นส่วน 28,224 ล้านบาท ความเสียหายของสินค้าที่ผลิตเสร็จแล้ว 17,275 ล้านบาท ความเสียหายในเรื่องเครื่องจักรและอุปกรณ์ 87,164 ล้านบาท และความเสียหายในเรื่องเบ็ดเตล็ดอีก 70,555 ล้านบาท

โดยผลการสำรวจพบว่า โรงงานใน จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับความเสียหาย 160,000 ล้านบาท, จ.ปทุมธานี 30,000 ล้านบาท, จ.นนทบุรี 11,000 ล้านบาท, จ.ลพบุรี 6,500 ล้านบาท และกรุงเทพฯ 2,000 ล้านบาท

นายชลิตรัตน์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.กำชับให้ผู้เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ผู้ประกอบการได้รับทราบถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน แล้วมาลงทะเบียนให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนมกราคม 2555 ล่าสุด มีผู้ประกอบการมาลงทะเบียนไว้แล้ว 2,000 ราย คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 284,500 ล้านบาท ซึ่งได้รับความเสียหายเป็นมูลค่า 95,400 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น