เอสพีซีจี ปลื้มผลประกอบการไตรมาส 3 เข้าเป้าตามแผนงาน ชี้ น้ำท่วมใหญ่ไม่กระทบผลการดำเนินงาน เผย โซล่าฟาร์ม 5 แห่งขายไฟฟ้าให้ กฟภ.ทะลุ 178 ล้าน ตั้งเป้าปี 2556 เสร็จครบ 34 โครงการ มูลค่า 2.4 หมื่นล้านบาท ผลิตไฟฟ้าได้ 204 เมกะวัตต์ ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เป็นผู้นำใช้แสงอาทิตย์เป็นพลังงานแห่งอนาคตประเทศไทย
น.ส.วัน ดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) แถลงผลประกอบการในไตรมาส 3/2554 ณ ห้องประชุมชั้น 11 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ต่อการระดมทุนสร้างโซล่าฟาร์มแห่งใหม่ โดยกล่าวว่า บริษัทมีผลการดำเนินงานรวม 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย.54) เป็นที่น่าพอใจ และเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้ประมาณการไว้ โดยมีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์รวม 5 โครงการ ได้แก่ จ.นครราชสีมา 2 แห่ง จ.สกลนคร 1 แห่ง จ.นครพนม 1 แห่ง และ จ.เลย 1 แห่ง จำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ทั้งสิ้น 178 ล้านบาท ทั้งนี้ กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์จะขึ้นอยู่กับสถานที่และสภาพอากาศ
ดังนั้น เอสพีซีจีจึงได้กำหนดแผนไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าพื้นที่ตั้งของโครงการทั้งหมดจะเน้นอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะมีความเข้มของแสงแดดสูง เป็นที่ดอนและเป็นที่ราบสูง นอกจากนี้ ต้องไม่เคยมีประวัติน้ำท่วม อีกทั้งได้มีการกำหนดขนาดถนนเข้าพื้นที่โครงการและขนาดถนนภายในโครงการอย่างถูกต้องตามหลักการ รวมทั้งทุกโครงการยังได้มีการปรับถมดินให้มีระดับสูงกว่าถนนตั้งแต่ต้น และมีระบบการระบายน้ำที่ได้มาตรฐานเพื่อความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โครงการโซล่าฟาร์มของเอสพีซีจี ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตน้ำท่วมแต่อย่างใด โดยจำนวน 5 โครงการที่ได้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ยังจำหน่ายให้กับการ ไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ตามปกติต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำในการพัฒนาโซล่าฟาร์มเชิงพาณิชย์แห่งแรกและใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน มีแผนที่จะพัฒนาโครงการโซล่าฟาร์มจำนวน 34 แห่งๆ ละ 6 เมกะวัตต์ รวมกว่า 204 เมกะวัตต์ เป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 24,000 ล้านบาท ให้แล้วเสร็จภายในปี 2556 ซึ่งการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานสะอาด ปราศจากมลภาวะ ไม่มีวันหมด ลดภาวะโลกร้อนและสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้พลังงานแสงอาทิตย์ จึงถือเป็นอนาคตของพลังงานไทย