“กิตติรัตน์” เตรียมเรียกประชุมกระทรวง ศก.พรุ่งนี้ เพื่อหารือ ศก.โลก และปัญหาเฉพาะหน้า มั่นใจผู้ส่งออกไทยปรับตัวเก่ง “ปู” สั่งแก้ปัญหาหมูแพงเร่งด่วน เตรียมเข้าควบคุมดูแลราคาทั้งระบบ มั่นใจกำหนดราคาหมูที่เหมาะสมได้ เชื่อไม่นานราคาหมูลง หากผ่านเทศกาล “สารทจีน” ยันถ้าแพงมากคนก็ไม่ซื้อ แต่หันไปกินเนื้ออย่างอื่นแทน
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงแนวทางการทำงานหลังได้รับตำแหน่ง โดยระบุว่า ตนเองจะเรียกประชุมกระทรวงเศรษฐกิจในวันที่ 12 สิงหาคม 2554 (พรุ่งนี้) เพื่อหารือสถานการณ์เศรษฐกิจเฉพาะหน้าที่อาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของปัญหาสหรัฐอเมริกา และยุโรป โดยในวันพรุ่งนี้ก็จะเข้าไปที่กระทรวงพาณิชย์
นายกิตติรัตน์ยอมรับว่า สหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่ มีกำลังซื้อ 1 ใน 4 ของโลก ย่อมมีปัญหาต่อการส่งออกของประเทศในเอเชียรวมถึงไทยบ้าง แต่เชื่อว่าเอเชียสามารถตั้งรับปัญหาได้เร็ว ทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นน้อยและเบากว่าภูมิภาคอื่น ประกอบกับเคยมีประสบการณ์จากวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา จึงทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้จากตัวเลขทุนสำรองที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ขณะที่การส่งออกของไทยก็มีการกระจายสินค้าให้หลายหลายกลุ่มออกไป รวมทั้งกระจายตลาดส่งออกไปในแถบอื่นๆ มากขึ้น ไม่ได้พึ่งพิงเพียงยุโรปและสหรัฐฯ เป็นหลัก
ส่วนปัญหาเรื่องราคาเนื้อหมูแพงนั้น นายกิตติรัตน์กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ดำเนินการ และกำชับให้เข้าไปแก้ไขปัญหาในทันที สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาหมูมีราคาแพงในขณะนี้ ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงพาณิชย์ได้เข้ามาควบคุมดูแลทั้งระบบ และกำหนดราคาขายปลีกเนื้อหมูทั่วประเทศในระดับที่เหมาะสมกับต้นทุน ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง และหากผ่านช่วงเทศกาลสารทจีนไปแล้ว ราคาและความต้องการบริโภคเนื้อหมูคงจะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ
ทั้งนี้ ยอมรับว่าผู้ค้าปลีกเนื้อสุกรอาจรู้สึกอึดอัดและไม่พอใจ เพราะได้รับผลกระทบจากราคารับซื้อที่สูงขึ้น ทำให้บางรายไม่อาจรับซื้อมาจำหน่ายต่อได้ เพราะหากรับมาจำหน่ายย่อมไม่อาจจำหน่ายได้ตามราคาที่กฎหมายกำหนด
“เชื่อว่าราคาหมูน่าจะลดลงในไม่ช้า เมื่อผ่านเทศกาลสำคัญระยะนี้ไป และที่ผ่านมาสุกรเป็นโรคล้มตายจึงทำให้เนื้อสุกรขาดตลาด แต่เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน คือ หากราคาหมูแพงต่อไปผู้บริโภคย่อมหันไปบริโภคเนื้อสัตว์ชนิดอื่นแทน จะทำให้ราคาลดต่ำลง ที่สำคัญยังต้องคงมาตรการส่งออกและนำเข้าเนื้อสุกรไว้ จากที่ประเทศเพื่อนบ้านราคาสุกรสูงกว่าประเทศไทยก็ตาม ดังนั้นจึงอยากขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการต่อมาตรการดังกล่าว”